"แดเนียล" รับอยากเล่นเป็น "กระเทย"

Wednesday, September 3, 2008





อีกเพียง 2 ภาคเท่านั้น แดเนียล แรดคลิฟฟ์ ผู้โด่งดังจากการสวมบทเป็นพ่อมดน้อย แฮร์รี พอตเตอร์ ก็จะต้องบอกลาบทอันสร้างชื่อในวงการให้กับเขาแล้ว น่าสนใจว่าเส้นทางจากนี้ของเขาจะเป็นอย่างไร ทั้งทางเลือกที่แสนท้าทายในงานละครเวทีเรื่องแรกที่สุดอื้อฉาว กับบทบาทในอนาคตที่ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับการต่อสู้กับโรคร้ายที่ติดตัวมาแต่เกิด ซึ่งเป็นเหตุผลที่เขาหันเข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่วัยเด็กเช่นนี้


Equus ละครที่ทุ่มทั้งตัว


แดเนียล แรดคลิฟฟ์ ในวัย 19 เผยว่าการได้มาสวมบทในละครเรื่อง Equus "ทำให้ผมมีความมั่นใจมากขึ้น" และไม่เห็นว่าการแก้ผ้าเข้าฉากจะเป็นเรื่องใหญ่โตตรงไหน


"มันมีแค่ 7 นาทีท้ายของเรื่องเท่านั้นเอง" แดนเปิดใจต่อ New York Times เมื่อครั้งที่ไปเยือนนิวยอร์กก่อนการเปิดตัว Equus ฉบับบรอดเวย์ในวันที่ 5 ก.ย.นี้ หลังจากสร้างชื่อเสียงในการเปิดการแสดงที่ลอนดอนมาเมื่อปีที่แล้ว โดยยอมรับว่าการแสดงสดๆ นั้น "เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมาก ยิ่งเล่นกันได้ดีเท่าไหร่ ก็ยิ่งหุบยิ้มไม่ได้เลย"


แต่กระนั้นเมื่อกล่าวถึงการที่เหลือเวลาให้เล่นเป็นพ่อมดน้อย แฮร์รี พอตเตอร์ อีกแค่ 2 ภาค (ถ่ายทำเหลือภาคเดียว) แดนก็กล่าวอย่างอาลัยอาวรณ์ว่า "มันคงจะเป็นเรื่องยากกับการได้เห็นคนอื่นมาแสดงเป็นแฮร์รี ยิ่งถ้าเขาทำได้ดีล่ะก็ มันเหมือนกับการฆ่าผมให้ตายไปเลยทีเดียว"


ในการเปิดใจต่อผู้สื่อข่าวอเมริกัน แดนได้เผยถึงผู้ที่เป็นฮีโร่ของเขา ทั้งพ่อแม่ และนักแสดงอย่าง แกรี โอลด์แมน และ สตีเฟน ฟราย และวงโปรดสุดพังค์อย่าง Sex Pistols กับ Libertines และยอมรับความจริงที่อาจทำเอาแฟนคลับงอนเล็กน้อยว่าเขาไม่เคยอ่านบทวิจารณ์หรือดูเว็บไซต์ที่แฟนๆ ทำขึ้นมาให้เขาเลย ด้วยเหตุผลที่ว่า "มันจะทำให้ผมหลงตัวเองมากเกินไป" เมื่อถามว่าจะฉลองอะไรตอนที่แฮร์รีภาคสุดท้ายปิดกล้อง เขาก็กล่าวอย่างติดตลกว่า "เราจะออกไปเที่ยว และเหล่านักแสดงทุกคนก็จะทำทุกๆ เรื่องที่ประกันภัยครอบคลุมไม่ถึงกันล่ะ"

Dyspraxia จอมมารตัวจริงที่เพิ่งจะเผยกาย


เมื่อสัปดาห์ก่อนนี้เองที่แฟนๆ ของแดเนียลต้องช็อกไปตามๆ กันเมื่อทางตัวแทนของเขาออกมาแจ้งว่าแดเนียลกำลังประสบกับอาการโรคร้ายทางระบบประสาท ที่ส่งผลถึงการบกพร่องทางการเคลื่อนไหวของร่างกาย และความสามารถในการเรียนรู้ของเขาโดยตรง


Dyspraxia เป็นโรคที่เกิดขึ้นกับชาวอังกฤษถึง 10% ของจำนวนประชากรทั้งหมด ซึ่งตัวแทนเผยถึงอาการของแดนว่า "อาการของเขายังอยู่ในขั้นเบาบางเท่านั้น อาการที่แย่ที่สุดที่แสดงออกมาคือเขาไม่สามารถผูกเชือกรองเท้าเองได้ และส่งผลต่อการเขียนที่ทำให้ลายมือของเขาแย่เอามากๆ"


ก่อนหน้านี้แดนเคยเอาเรื่องปัญหาดังกล่าวไปพูดเล่นกับหนังสือพิมพ์ Daily Star ว่า "ผมเคยคิดน่ะว่า ทำไมน่ะทำไม แถบเวลโคร(แถบหนามเตย)ที่รองเท้ามันถึงไม่ถอดง่ายๆ หน่อยน่ะ"


ผู้ป่วย Dyspraxia ที่แสดงอาการขั้นรุนแรงจะไม่สามารถทำกิจกรรมบางอย่างได้ เช่น เดินขึ้นลงบันได กระโดด เตะบอล โอกาสที่ผู้ชายจะมีอาการเหล่านี้มีมากกว่าผู้หญิงถึง 4 เท่า ซึ่งการรักษาขั้นพื้นฐานคือ การบำบัดโดยให้ทำกิจกรรมเบาๆ ให้ผู้ป่วยแสดงการกระทำและทบทวนการเคลื่อนไหวอย่างสม่ำเสมอ


แดนยังยอมรับกับสื่อว่าการต่อสู้กับโรคร้ายนี้ส่งผลต่อการเรียนของเขาอย่างร้ายแรง และเป็นเหตุผลให้เขาเลือกที่จะหันมาสู่โลกของการแสดง "ผมมีช่วงเวลาที่โรงเรียนที่ย่ำแย่ ผมห่วยในทุกๆ เรื่อง แถมไม่มีทักษะในการเรียนรู้เอาซะเลย" และเป็นเหตุผลให้แม่ของแดนอนุญาตให้เขาไปคัดตัวเป็นนักแสดงเด็กจากเรื่อง David Copperfield ทางช่อง BBC เมื่อปี 1999 ก่อนที่ความสามารถของเขาจะไปเตะตาผู้สร้างหนังพ่อมดน้อย ซึ่งผลงาน 2 ภาคล่าสุดได้ทำเงินให้เขาไปถึง 50 ล้านเหรียญ

บทในฝัน?


"ผมคิดว่าลึกๆ แล้วผมเองก็อยากที่จะเล่นเป็นกระเทยแต่งหญิงดูซักครั้ง มันคงจะเป็นข้ออ้างที่ใช้ในการเมคอัพตาหนาๆ ได้" แดนเผยต่อการให้สัมภาษณ์ของนิตยสาร Details ที่เขามาเป็นแบบถ่ายปกแฟชั่นในฉบับเดือนต.ค.นี้

โดยแดเนียลยอมรับว่าถ้าเขาเป็นเกย์แต๋วแตกในหนังเรื่องใหม่จริง มันจะเป็นสิ่งที่ท้าทายตัวตนของเขามากที่สุด ผู้ซึ่งชีวิตส่วนตัวช่างแตกต่างจากดาราวัยรุ่นในโลกแห่งแสงสีอย่างสิ้นเชิง

"ผมไม่อยากที่จะแกล้งทำเป็นซ่า คนส่วนใหญ่เมื่อพูดถึงความ 'ขบฎ' มักจะนึกถึงความหุนหันของเด็กวัยรุ่นเจ้าปัญหา แต่ผมขอเลือกที่จะทำสิ่งเหล่านั้นในงานของผมมากว่า"

"ดุเหมือนว่าผมจะแตกต่างจากชาวบ้านเขาไปหมด ผมแต่งกลอนและรักมันมากๆ ผมแปลกแยกไปจากเด็กๆ รุ่นเดียวกับผมทั้งหมดก็ว่าได้"

ขนาดที่ว่าเงิน 50 ล้านเหรียญที่เขาได้จาก 2 ภาคล่าสุดของแฮร์รี พอตเตอร์เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรกับมันดี

"สิ่งเดียวที่ผมอยากจะใช้จ่ายกับเงินจำนวนนั้นก็คืองานศิลปะ เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่ผมสนใจและต้องใช้เงินมากขนาดนั้นที่จะได้มันมา"

เมื่อถามถึงเรื่องสาวคนรู้ใจที่เป็นเหมือนปัจจัยที่ 5 ของเด็กหนุ่มรุ่นเขาในยุคนี้ เขาก็ยืนยันว่าตัวเองยังโสดสนิท และงานยุ่งเกินกว่าที่จะคิดเรื่องหาสาวที่ไหนมาเป็นแฟน

"ผมเคยมีเพื่อนมากมายที่เป็นผู้หญิง และการที่ผมได้เห็นเวลาที่เธออยู่กับเพื่อนผู้ชาย ผมได้แต่คิดว่าผมคงทำอะไรอย่างนั้นไม่ได้ ผมไม่มีเวลาพอสำหรับเรื่องพรรณนี้"


ที่มา ผู้จัดการออนไลน์

0 comments:

Blog Archive