เตือนชายรักชาย “ฉีดน้ำทำแท้งลำไส้” เสี่ยงเนื้อเยื่อฉีก-ติดเชื้ออักเสบ

Thursday, October 30, 2008





กรมควบคุมโรค เตือนเกย์ กะเทย ตุ๊ด ไม่ควรทำ “แท้งชาย” ฉีดน้ำรุนแรงเข้าบั้นท้ายทำความสะอาดอันตรายเสี่ยงติดเชื้อ อักเสบ ไม่อยากมีเซ็กซ์แถมทอง ให้กินอาหารมีกากใยมาก สะอาดอย่างเดียวไม่พอ ต้องปลอดภัย ต้องใช้ถุงยางและสารหล่อลื่นทุกครั้ง ขณะที่ผู้ติดเชื้อเอดส์กลุ่มชายรักชายมีแนวโน้มสูงขึ้น กรุงเทพฯ แชมป์ติดเชื้อมากสุด รองลงมาคือภูเก็ต เชียงใหม่ ตามลำดับ


วันที่ 30 ตุลาคม ที่โรงแรมเอเชีย แอร์พอร์ท นพ.มล.สมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดการประชุมสรุปบทเรียนการพัฒนาเครือข่ายคนทำงานเอดส์ในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย เพื่อส่งเสริมการป้องกันโรคเอดส์และเข้าถึงการดูแลรักษา ว่า วิธีการป้องกันการติดเชื้อเอดส์ที่ดีที่สุด คือ กลุ่มชายรักชายจะต้องตื่นตัวรู้จักดูแลสุขภาพของตนเอง มีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย ไม่รุนแรงจนเกินไปทำให้เกิดบาดแผล


นอกจากนี้ ควรใช้ถุงยางอนามัย และสารหล่อลื่นทุกครั้งหากมีเพศสัมพันธ์ อย่างไรก็ตาม วิธีการปฏิบัติที่กลุ่มชายรักชายนิยมล้างลำไส้ใหญ่ส่วนล่าง หรือเรียกว่า การทำแท้ง ก่อนมีเพศสัมพันธ์ โดยการฉีดน้ำอย่างรุนแรงเข้าไปในช่องทวารแล้วเบ่งออกมานั้น แม้ว่าจะทำเพื่อความสะอาดไม่ให้มีสิ่งปฏิกูลติดออกมา หรือที่เรียกว่า “แถมทอง” แต่ก็อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย เนื่องจากทำให้เนื้อเยื่อของลำไส้ใหญ่ฉีกขาด หรือบอบบางลง ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อหรืออาการอักเสบต่างๆ ดังนั้น เพื่อสุขภาพทางเพศที่ดี สะอาดอย่างเดียวไม่พอแต่ต้องปลอดภัยด้วย จึงไม่แนะนำให้ทำในลักษณะดังกล่าวนี้


นพ.มล.สมชาย กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ แม้ไทยจะประสบผลสำเร็จในการลดจำนวนผู้ติดเชื้อเอดส์รายใหม่ได้ โดยในช่วงปี พ.ศ.2547-2548 จากที่มีผู้ติดเชื้อเอดส์รายใหม่ถึงปีละ 140,000 ราย ปัจจุบันเหลือเพียงประมาณปีละ 17,000-18,000 ราย แต่จากการสำรวจสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวีในกลุ่มชายรักชายพบว่ามีแนวโน้มค่อนข้างสูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มชายขายบริการ หรือ สถานบริการเซาน่า


นพ.มล.สมชาย กล่าวต่อว่า ในปี พ.ศ.2546 ในเขตกรุงเทพมหานคร พบอัตราการติดเชื้อเอชไอวีในชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย ร้อยละ 17.3 และเพิ่มสูงขึ้นในปี 2548 เป็นร้อยละ 28.3 และ ในปี 2550 เป็นร้อยละ 30.7 สำหรับผลการสำรวจในจังหวัดใหญ่ที่มีความเจริญทางด้านเศรษฐกิจ และมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศจำนวนมาก เช่น จังหวัดเชียงใหม่ และ จังหวัดภูเก็ตพบอัตราการติดเชื้อเอชไอวีสูงขึ้นเช่นเดียวกัน


“ข้อมูลการสำรวจในจังหวัดเชียงใหม่ พบว่า ในปี 2548 พบอัตราการติดเชื้อเอชไอวี ร้อยละ 15.3 และปี 2550 สูงขึ้นเป็นร้อยละ 16.9 ส่วนข้อมูลการสำรวจของจังหวัดภูเก็ต พบอัตราการติดเชื้อเอชไอวี ในปี 2548 ร้อยละ 5.5 และปี 2550 สูงขึ้นเป็นร้อยละ 20 นอกจากนี้ ยังพบว่า กลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายมีอัตราการใช้ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์กับคู่ฉาบฉวย หรือคนรักต่ำกว่าร้อยละ 50” นพ.มล.สมชาย กล่าว

นายชนวีร์ สีชมภู ผู้ประสานงานโครงการ Safe sex project AIDS สำนักานสาธารณสุข จ.นครสวรรค์ กล่าวว่า วิธีการทำแท้งชายเป็นที่นิยมมากในกลุ่มชายรักชาย โดยเฉพาะกะเทย ซึ่งที่ผ่านมาตนได้ให้คำแนะนำ ว่า ไม่ควรทำเป็นประจำ หรือหากจำเป็นควรทำแท้งชายก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 1 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม วิธีการที่ดีที่สุด เมื่อรู้ตัวว่าจะมีเพศสัมพันธ์ถ้าไม่อยากให้มีทองติดมาด้วย ให้พยายามรีดสิ่งปฏิกูลออกมาให้หมดก่อน หรือไม่ก็อาจต้องทำใจ แต่ไม่ควรใช้น้ำฉีดเข้าไปแรงๆ เพราะปกติการมีเพศสัมพันธ์ของชายรักชายก็มีความรุนแรง เกิดการฉีกขาด หรือเกิดแผลได้ง่ายอยู่แล้ว หากพลาดถุงยางรั่วหรือแตก ขณะที่มีแผลก็เสี่ยงที่จะติดโรคทางเพศสัมพันธ์ หรือโรคเอดส์ได้



“ทั้งนี้ จากการลงพื้นที่ยังพบว่า วัยรุ่นกะเทยส่วนใหญ่มีความต้องการถุงยางอนามัยที่มีขนาดไซส์ใหญ่ 52 มม.ขณะที่ไซส์มาตรฐานอยู่ที่ 49 มม.โดยมักอ้างว่า ใส่ง่าย และไม่คับ บางคนบอกว่า ถุงยางอนามัยมีขนาดเล็ก ทำให้ไม่สามารถรูดถุงยางอนามัยให้ถึงโค่นอวัยวะเพศได้ ขณะที่ส่วนหนึ่งอาจเนื่องมาจากค่านิยมทางเพศ ที่อยากให้มีอวัยวะเพศขนาดใหญ่ ซึ่งได้แนะนำว่า ควรใช้ถุงยางให้มีขนาดที่พอดีกัน หากใช้ถุงยางผิดขนาดก็ มีโอกาสเสี่ยงติดโรคเช่นกัน” นายชนวีร์ กล่าว


ด้านพญ.พัชรา ศิริวงศ์รังสรร ผู้อำนวยการสำนักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ได้ให้ความรู้กลุ่มชายรักชายในการดูแลรักษาสุขภาพ โดยให้รับประทานอาหารที่มีกากใหญ่มาก จะทำให้การขับถ่ายสะดวกไม่เป็นโรคท้องผูก ไม่มีอุจจาระตกค้างอยู่ในลำไส้ อย่างไรก็ตาม คงไม่สามารถห้ามไม่ให้กลุ่มชายรักชายทำแท้ง แต่ให้ทำด้วยความระมัดระวังและอย่าทำบ่อยจนเกินไป


พญ.พัชรา กล่าวด้วยว่า สำหรับการพัฒนาเครือข่ายคนทำงานเอดส์ในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย เพื่อส่งเสริมการป้องกันเอดส์และเข้าถึงการดูแลรักษา ซึ่งได้รับงบประมาณสนับสนุนจากกองทุนโลกเพื่อการป้องกันเอดส์ วัณโรค และมาลาเรีย และงบประมาณจากภาครัฐ เริ่มดำเนินการในช่วงปี พ.ศ.2550-2551 ในการประชุมครั้งนี้เป็นกิจกรรมหนึ่งที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้บุคลากรของภาคีเครือข่ายที่ทำงานด้านโรคเอดส์ ในพื้นที่ดำเนินงานนำร่อง 8 จังหวัด ได้แก่ ปทุมธานี นครสวรรค์ ลำปาง อุบลราชธานี นครราชสีมา พัทลุง เชียงใหม่ และชลบุรี ได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากการทำงานเอดส์ในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย และร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาและหาแนวทางที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหา/อุปสรรคจากการทำงานเพื่อนำไปสู่การป้องการติดเชื้อเอดส์รายใหม่


ทั้งนี้ อนาคตมีเป้าหมายในการสร้างแกนนำขยายครอบคลุม 40 จังหวัดทั่วประเทศ โดยเลือกจากจังหวัดที่มีความเสี่ยง มีกลุ่มชายรักชายมาก และมีสถานศึกษาจำนวนมากก่อน

แมร่งปล้นกันต่อหน้ากูเลย

Tuesday, October 28, 2008




เมื่อคืนก่อน กลับจากทำบาร์ ก็จะจาไปหาตังค์ต่อที่เดิม แถวกลาโหม เสือกปวดท้องขึ้นมา ยืนได้พักนึก กรุ ทนไม่ไหวแระ ปวดขี้อย่างแรง เลยโบกแท็กซี่ ไปลง สน.พระราชวัง (กรูไม่กลัวมัน เพราะกรูไปห้องส้วม หุหุ แต่ถ้ากำลังยืนอยู่ มันมา กรุวิ่ง) ตามจิงว่าจาเดินไปแระ แต่นึกได้ว่ามีอริมันยืนแถวหน้ากรม รอดอ(คงจำกันได้ที่เคยเล่าให้ฟังว่า โดนเอาขวานไล่ฟัน ) พอเดินกลับมาถึง กรมวิทยุทหาร ไกล้วัดโพธิ์ เห็นเพื่อนคนนึง(เพิ่อนร่วมอาชีพ)เดินอยู่ฝั่งตรงข้าม มันมอไซรฅ์ซ้อน 3 ตามมันมา ตอนแรกก้อไม่เอะใจ แต่มันไอ้คนซ้อน 2 คนมันกระโดดลงจากรถ ชัวร์เลย เหี้ย มันโจรนี่หว่า ถึงคราสซวยของไอ้คนนั้นไป แต่โชคช่วย แมร่งมีแท็กซี่ผ่านมา มันเลยโดดขึ้นซะ แต่ไอ้3ตัวมันก้อยังไปขวางแท็กซี่ไม่ให้ไป กล้ามาก แต่แท็กซี่ไม่ยอมมั้ง เหยียบกะชนเลย มันน่าชนให้ตาย ไอ้พวกนี้ไม่ทำมาหากิน ตอนแรกคิดว่าซวยแล้ว รายต่อไป เป็นกรูแน่ แต่ที่ไหนได้ แมร่งบิดตามแท็กวี่ไปเฉย กรูเลยรอด แต่จำไอ้ตัวเล็กได้ แมร่งก็ขายตัวเหมือนกัน แถม ยังนั้งขายซีดี ในสนามหลวงด้วย มันคงจำกรุได้ เพราะกรุเดินผ่านร้านมันบ่อย มันเลยไม่กล้าทำมั้ง แต่ไว้ใจไม่ได้ ไอ้พวกนี้ ลองมันอยากยาขึ้นมา อะไรที่ทำแล้วแมร่งได้ตัง ก็ทำหมด สันดานโจรอ่ะนะ เวนกรรมของพ่อแม่มันจิงๆ

ลองของใหม่ไปเป็นเด็กบาร์

Sunday, October 26, 2008

รูปประกอบจากเน็ต



สองอาทิตย์แล้วคั้บที่ผมผันตัวเองไปเป็นเด็กมีสังกัด พอดีเพื่อนที่ยืนที่วังด้วยกันชวนไปทำ เป็นบาร์แถวสุริวงศ์ ก็ซอยประตูชัยนั่นละคั้บ แต่พอเลิกจากบาร์ถ้าไม่ง่วงนัก ก้อยังกลับมายืนที่วังเหมือนเดิม และอาจจะถือว่าเป็นโชคดีของผมด้วยมั้งคั้บที่เปิดงานครั้งแรกก้อมีเหยื่อผู้โชคร้าย อิอิ มาเล็ง แล้วลากตัวไป

ชีวิตในบาร์ต่างจากที่วังอย่างมาก ที่วังต้องหนีตำรวจ หนีโจร หนีนักเลง แต่ที่บาร์ไม่ต้องหนีอะไรเลย แขกที่มาส่วนใหญ่มักจะเป็นชาวต่างชาติ (ใจป้ำ จ่ายหนัก) แต่บางคนก้อเรื่องมาก เรื่องมากจนน่าปวดหัว เหมือนแขกคนล่าสุดขงผม เป็นคนไทย


คุณพี่รวยอ่ะ แต่เรื่องมาก มากโคตรๆออฟเด็กไปสามคน มีผม หนึ่ง แล้วออฟเด็กเสริฟออกไปอีกสอง เป็นสามคน พาไปนั่งกินเหล้า แบบมาราธอน ตูเมาหลับคนแรก อ้วกจนไม่รู้กี่รอบแระ มันก้อไม่ยอมพาเข้าโรงแรมซะที จนผมเมาไม่รู้ตัวอ่ะ มัน(คัยก้อไม่รู้)ลากไปเข้าห้องนอน ตื่นมาอีกทีเช้า พี่แกเล่นมาปลุกให้ไปกินเหล้าต่อ เด็กเสริฟสองคนที่ออฟมาก้อยังนั่งกินอยู่ แดกโหด เจอแขกแบบนี้บ่อยตูตายแน่ กว่าพี่แกจะเลิกกินเหล้าล่อไปซะบ่ายสอง แล้กรูจาได้นอนมะนั่น ดีที่ว่าโรงแรมมันอยู่ไกล้ซอยประตูชัยพอดี เลยกลับมาตอกบัตรทำงานทัน งิงิ

คลิปฟิล์มรัฐภูมิ แอบถ่ายฟิล์มรัฐภูมิล่าสุดโรงแรมเดียวกับคลิปโฟร์-มด

Tuesday, October 21, 2008

 

คลิปฟิล์มรัฐภูมิ แอบถ่ายฟิล์มรัฐภูมิล่าสุดโรงแรมเดียวกับคลิปโฟร์-มด

แอบถ่ายฟิล์มรัฐภูมิล่าสุดโรงแรมเดียวกับคลิปโฟร์-มด  แหม ลูกหลานเจ้าของโรงแรมนี้ก็ช่างชอบแอบถ่ายคนดังจริงๆ ยังงี้ใครจะกล้าไปพัก ใครจะกล้าไปเล่นคอนเสิร์ตให้อีก แต่คลิปฟิล์มนี่ไม่รู้จะมีจริงๆ หรือเปล่า หรือเป็นแค่ข่าวเม้าท์ เพราะคลิปโฟร์-มดยังเอาไปขายได้ คลิปฟิล์มนี่จะขายยังไง สงสัยจะขายดีแถวแผงซีดีที่สีลม เพราะยังไงก็คงขายดีไม่เท่าคลิปสาวๆ

แต่ส่วนตัวคิดว่าไม่แน่ะนะ อาจจะมีคลิปฟิล์ม แอบถ่ายฟิล์มจริงๆ ด้วยก็ได้ ถ้าเขาตั้งใจทำเพราะการค้า เขาก็ถ่ายหมดแหละ ไม่สนใจหรอกขอแค่เป็นคนดังก็พอ แต่ว่าอีกมุมนึงก็อาจะไม่ใช่เพราะดูคลิปโฟร์-มดสิ ถ่ายมาตั้ง 2 ปีแล้วเพิ่งจะเอามาโพสต์ในเน็ต แสดงว่าเขาไม่ได้ตั้งใจแอบถ่ายคลิปแล้วเอามาปั๊มซีดีขายหรอก ถ้าเขาตั้งใจขายคงขายไปตั้งแต่ตอนถ่ายเสร็จใหม่ๆ แล้ว ปั๊มซีดีขายเลยไม่ดีกว่าเหรอจะเอามาโพสต์ในเน็ตให้พ่อจับทำไม ว่าม่ะ..

หลุดคลิปอ้น» ลือหึ่ง “ปล่อยคลิปเอง” หวังกลบข่าว “เกย์”

 

จากกรณีที่อ้xมีคลิปหลุดออกมาว่อนทั่วเน็ต ประชาชีขาเม้าท์ต่างวิจารณ์กันไปต่างๆ นาๆ บางส่วนประนามอ้xว่าทำแบบนี้ได้ยังไง แต่บางส่วนกลับเห็นใจอ้x ประทับใจในความเป็นสุภาพบุรุษ กล้าทำก็กล้ารับ พร้อมขอโทษทุกคนที่เกี่ยวข้อง วอนขอให้สื่ออย่าขุดคุ้ยยๆๆๆ…. แต่แหมม… คุณค่ะ

 

เรื่องแบบนี้ชาวบ้านร้านตลาดอยากรู้เป็นที่ซู๊ด เอาหล่ะ เดี๊ยนไม่สนับสนุนให้มีการเผยแพร่คลิป ถึงแม้ว่าอ้xจะถ่ายเอง ไม่ได้โดนแอบถ่ายก็ตามที เรื่องคลิปก็ว่ากันไป แต่เรื่องที่ชาวบ้านอยากรู้คือมันหลุดมาได้ไง และผู้หญิงในคลิปนั่นจริงๆ แล้วเป็นใคร เพราะตามที่อ้xออกมาอ้างว่าเป็น "อดีตแฟนสาว" แต่บางคนที่ได้ดูคลิปแล้ว (ไม่ใช่เดี๊ยนนะย่ะ) เม้าท์ให้ฟังว่ามีเสียงเรียกชื่อ "นxx" ตอนปั่มปั๊มกัน แล้วเผอิญแฟนคนปัจจุบันก็ชื่อ "นxx" ซะด้วย แล้วมาบอกว่าเป็นอดีตแฟนได้ยังไง หรือทำแบบนี้เพื่อปกป้องแฟนคนปัจจุบัน แล้วยังงั้นอดีตแฟนเก่าจะไม่เสียหายเหรอ ทำแบบนี้เนี่ย ไหนๆ ก็ยอมรับผิดแล้วแต่ทำไมกลับไปทำให้คนอื่นเสียหายอีก เอาหล่ะนั่นเป็นประเด็นหนึ่ง ส่วนอีกประเด็น..

เขาลือกันให้แซ่ดว่างานนี้อาจมีการ "แกล้งทำคลิปหลุด" หวังสยบภาพ "เกย์" ถึงแม้หลังๆ จะมีข่าวว่าคบสาวอยู่บ้าง แต่ใครที่ติดตาม "อ้x" ตั้งแต่เข้าวงการจะรู้ดีว่า ความจริงเป็นยังไง เขาเม้าท์กันให้แซ่ด แถมเจอตัวจริงอยู่บ่อยครั้ง จนทุกคนเข้าใจแล้ว แต่พอมีคลิปหลุด หลายคนตกใจ ที่ตกใจไม่ใช่ตกใจอะไร ตกใจเพราะเป็นคลิปหลุดกับผู้หญิง เลยแปลกใจ ที่แท้เป็น "แมน" เหรอ นึกว่าเลย์กู ไม่ว่าจะเป็นมาด หน้าตา พร้อมกับข่าวการเจออ้xที่โน่น ที่นี่ ควงกับคนโน้น คนนี้ และข่าวเม้าท์จากคนใกล้ชิดทำให้หลายคนเข้าใจว่า "ใช่"

คงไม่มีใครอยากให้มีคลิปตัวเอง "หลุด" มาให้ชาวบ้านดูของลับนอกจากพวกอยากโชว์หรือไม่ก็พวกอยากดัง เดี๋ยวนี้ใครจะถ่ายคลิปตัวเองยังคิดหนัก ขนาดถ่ายรูปเล่นๆ ยังป้องกันสุดชีวิต กลัวคนเอาไปทำอะไรไม่ดี แต่ที่ดูจากรูปในข่าว รู้สึกตั้งใจถ่ายจัง เหมือนอยากโชว์มากกว่าอยากเก็บไว้ดู เดี๊ยนเลยงงว่านี่เป็น "ความลับซูเปอร์สตาร์" หรือเปล่า แหม… วงการมายา เป็นยังไงก็รู้อยู่ ทางที่ดีต้องพึ่งนักข่าวสายสืบ มาสืบเรื่องนี้ให้พวกเราได้รู้ จะได้คลายต่อมกระสันต์ใคร่รู้เรื่องชาวบ้านของพวกเรา

ห่วงผลกระทบเกย์กลับใจ กินฮอร์โมน หวังเพิ่มความเป็นชาย

Monday, October 20, 2008

ห่วงผลกระทบเกย์กลับใจ กินฮอร์โมน หวังเพิ่มความเป็นชาย

ห่วงผลกระทบเกย์กลับใจ กินฮอร์โมน  หวังเพิ่มความเป็นชาย


ห่วงผลกระทบเกย์กลับใจ กินฮอร์โมนเพศชาย

รองอธิบดีกรมสุขภาพจิตพบวัยรุ่นชายที่ยังสับสนทาง เพศ ขณะที่มีรูปร่าง นิสัยกระตุ้งกระติ้งเหมือนผู้หญิง แต่สังคมรอบข้างบีบบังคับให้เป็น "ผู้ชาย" หันไปกินฮอร์โมนเพศชาย หวังเพิ่มหนวดเครา เสียงห้าวใหญ่ มีกล้ามเนื้อเหมือนผู้ชาย

นพ. อภิชัย มงคล รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.)ให้สัมภาษณ์ว่า จากการรักษาผู้มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ พบว่า มีวัยรุ่นชายบางคน รูปร่างกระตุ้งกระติ้งเหมือนผู้หญิงแต่จิตใจยังสับสนว่า ตนเองจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงดี

ในที่สุดได้ข้อสรุปว่า ตัวเองควรเป็นผู้ชาย และส่วนใหญ่บุคคลรอบข้างจะบีบบังคับให้เป็นผู้ชาย หันไปซื้อฮอร์โมนเพศชายมากินเพิ่มมากขึ้น เพื่อเสริมความมั่นใจให้กับตนเอง แสดงออกทางรูปร่างถึง "ความเป็นชาย" เพื่อทำให้แน่ใจมากเพิ่มขึ้น โดยกินฮอร์โมนเพศชายวันละ 4 เม็ด

"กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่เลือกและตั้ง ใจว่าจะเป็นผู้ชาย แต่ก็ยังไม่แน่ใจตัวเองมากเท่าที่ควร ก็เลยต้องการทำให้ความเป็นชายของตัวเองมีเพิ่มมากขึ้น เด็กวัยรุ่นอายุ 17 - 18 ปี เป็นกลุ่มที่กำลังต่อสู้กับสภาวะจิตใจของตนเอง ซึ่งยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิง

จำเป็นต้องมีบริการให้คำปรึกษาที่ถูกต้องเพราะเขาเองก็ยังลำบากใจอยู่ เขาแน่ใจว่า ต้องการเป็นผู้ชาย บางคนเชื่อเพื่อนหันไปจีบผู้หญิง จนถึงขั้นแต่งงาน เพื่อไปพิสูจน์ว่าตนเองเป็นชาย สุดท้ายภรรยาก็โชคร้าย เพราะได้ผู้ชายไม่เต็มร้อยมาเป็นสามี จนต้องหย่าร้างกัน" นพ.อภิชัย กล่าว

นพ. อภิชัย กล่าวว่า ชายวัยรุ่นที่ตัดสินใจได้ว่า ตัวเองจะเป็นเกย์ กระเทย ไม่น่าเป็นห่วง แต่น่าห่วง กลุ่มที่ยังสับสน และเลือกไม่ถูกว่าอยากเป็นเพศใด ซึ่งบางคนมีการตัดสินใจทำอะไรไปอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้เกิดความแน่ใจ อย่างเช่นการตัดอัณฑะ ตัดอวัยวะเพศ ซึ่งเป็นปัญหาที่พบในช่วงที่ผ่านมา.

สำนักข่าวไทย

หนุ่มๆ เมืองผู้ดี อยากเดท เจ้าชายแฮร์รี่ มากกว่า เจ้าชายวิลเลี่ยม


หนุ่มๆ เมืองผู้ดี  อยากเดท เจ้าชายแฮร์รี่ มากกว่า เจ้าชายวิลเลี่ยม


เจ้าชายวิลเลี่ยม  เจ้าชายแฮร์รี่

 

       ผลโพลล์ ล่าสุดจาก website gay-PARSHIP เปิดเผยถึงกระแสความนิยมชมชอบของกลุ่มเกย์ หรือ กลุ่ม ชายรักชายแห่งสหราชอาณาจักรที่มีต่อเจ้าชายทั้งสองแห่งรางวงศ์อังกฤษอย่าง ชัดแจ้งว่า ปลาบปลื้มและอยากมีช่วงเวลาสุดแสนโรแมนติคกับ เจ้าชายแฮร์รี่ มากกว่า เจ้าชายพระองค์พี่ผู้แสนอ่อนโยน อย่าง เจ้าชายวิลเลี่ยม ซึ่งได้คะแนนจากผลโหวตเพียง 23 % เท่านั้น

      อย่างไรก็ตาม นาย  Adrian Gillan โฆษกของ website gay-PARSHIP   กล่าวว่า " หัวข้อในการทำ Poll ครั้งนี้มิได้มีความตั้งใจลบหลู่เบื้องสูงแต่อย่างใดทั้งสิ้น  แต่เป็นการนำเสนอมุมมองกระแสความชื่นชอบในตัวของเจ้าชายทั้ง 2 พระองค์ที่แตกต่างออกไป จากเดิมที่มีเพียงแต่กระแสเสียงของเหล่าผู้หญิงเท่านั้น

    จากผลโพลล์นี้ยังบอกอีกด้วยว่า เหล่าบรรดาเกย์ที่ยังไร้คู่ ต่างต้องการที่จะเดทกับ เจ้าชายวิลเลี่ยม และ เจ้าชายแฮร์รี่ ทั้งคู่ ไม่ใช่มีเพียงแค่ผู้หญิงเท่านั้นที่ต้องการจะเดทกับทั้ง 2 พระองค์

    ซึ่ง ทั้ง เจ้าชายวิลเลี่ยม และ เจ้าชายแฮร์รี่ ต่างก็เป็นเชื้อพระวงศ์รุ่นใหม่ที่จะเป็นสีสันที่น่าจับตามอง ส่งผลให้พระจริยาวัตรของทั้ง 2 พระองค์และในกลุ่มพระสหายสนิท ก็พลอยตกเป็นเป้าสายตาของบรรดากลุ่มชายรักชายแห่งเมืองผู้ดีอังกฤษไปด้วย   "



เจ้าชายวิลเลี่ยม  เจ้าชายแฮร์รี่


2  พระอิริยาบถ ของ 2 เจ้าชาย ในยามว่าง

กรี๊ดดดดด !!!!  ทรงมีเสน่ห์มากมาย.....เจรงๆ >0<



สมัยยังทรงพระเยาว์ ทั้ง เจ้าชายวิลเลี่ยม และ เจ้าชายแฮร์รี่



เจ้าชายแฮร์รี่  



เจ้าชายวิลเลี่ยม และ เจ้าชายแฮร์รี่



เจ้าชายแฮร์รี่ ทรงเท่มากค่ะ



เจ้าชายแฮร์รี่ กับ เชลซี่ เดวี่




เจ้าชายแฮร์รี่ อีกมุมที่ทรงพระสิริโฉม



เจ้าชายแฮร์รี่




เจ้าชายแฮร์รี่




เจ้าชายแฮร์รี่ เจ้าชายวิลเลี่ยม และ Fearne Cotton




เจ้าชายแฮร์รี่ และ เจ้าชายวิลเลี่ยม




เจ้าชายแฮร์รี่ และ เจ้าชายวิลเลี่ยม

 

ขอบคุณรูปภาพประกอบจาก internet


เมาท์สนั่น! เกรท ดาราหน้าใหม่ถ่ายนู้ด ปลุกใจชาวเกย์

Saturday, October 18, 2008


ถือว่า เป็นพระเอกหนุ่มดาวรุ่งดวงใหม่ที่กำลังมาแรง สำหรับหนุ่ม “เกรท-วรินทร ปัญหกาญจน์” จากละครเรื่อง “รักเธอยอดรัก” ที่ประชันบทบาทกับพระเอกลูกรักอย่าง “ปอ-ทฤษฎี สหวงษ์” เท่านั้นยังไม่พอ ทางสถานีเตรียมดันพระเอกหน้าใหม่รายนี้เต็มสูบ หลังจากจบเรื่องนี้ก็มีเรื่อง “สายสืบเดลิเวอรี่” คู่กับ “หยาดทิพย์ ราชปาล” แรงไม่แรงก็ตั้งใจให้ สาวหยาด รับหน้าที่เป็นเจ๊ดันกันเลยทีเดียว

ประวัติของหนุ่มคนนี้ ก่อนจะได้มาเฉิดฉายอยู่หน้าจอทีวีให้ได้เห็นกันนั้น เริ่มต้นด้วยการถ่ายแบบ และ ได้งานโฆษณาอยู่หลายตัว เคยได้รับตำแหน่ง “Men’s Health Guy Award 2007″ มานอนกอดเล่น จนความหล่อเข้าตากรรมการได้มาเล่นละครอย่างที่เห็น

ส่วนกระแสในอินเตอร์เน็ตผู้คนในโลกไซเบอร์ต่างพากันพูดถึงพระเอกน้องใหม่คนนี้ในทางเสียๆ หายๆ ลือกันให้ลั่นว่า “เกรท” เคยถ่ายหนังสือแนวปลุกใจ (ชาวสีม่วง) มาก่อนที่จะดังเป็นพระเอกหน้าใหม่ ถึงจะไม่ควักโชว์แต่ก็พอสยิวไปถึงสะดือ ลูกค้าที่ซื้อหนังสือประเภทนี้ก็เป็นเก้งกวางทั้งนั้น

ไม่เพียงแค่กระแสข่าวนี้เท่านั้น เท่านั้น ยังมีบางรายนำรูปมาลงให้ชมกันเป็นขวัญตาพอเป็นน้ำจิ้มอีกด้วย พร้อมกับบอกต่อๆ กันว่า รูปที่เห็นนี่แค่เซตแรกๆ เท่านั้น ยังมีภาพเด็ดๆ กว่านี้อีกหลายเท่าตัว

เฮ้อ..พระเอกช่อง 3 ไม่รู้เป็นอะไรกันไปหมด พอเริ่มดังก็โดนข่าวอีหรอบเดิมเหมือนกันหมด วอนต้นสังกัดตรวจสอบโดยด่วน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ทำไมผู้ชายบางคนชอบ ‘อ่อย’ เกย์?

Friday, October 17, 2008



วันเสาร์พอมาลองนับๆ ดู ผมพบว่า ตั้งแต่มัธยม ยันมหาวิทยาลัย ผมแอบหลงรักเพื่อนชายร่วมชั้นไปแล้วก็หลายคน ดีนะครับที่นึกไม่ออกว่า เคยเกิดเรื่องแบบนี้ตั้งแต่ชั้นประถมหรือเปล่า ผมคง “แก่แรด” ตั้งแต่เด็กพวกเขาทั้งหล่อ เก่ง หุ่นดี เป็นนักกีฬา มีเสน่ห์ นิสัยน่ารัก เรียกว่า เป็นทุกสิ่งที่ผมอยากจะเป็น ก็ได้แต่แอบชื่นชมไปวันๆ ใครล่ะจะกล้าเข้าหา เสียเพื่อนแน่ และที่สำคัญคงต้องเสียหน้า แต่ลึกๆ แห่งก้นบึ้ง ก็ยังอดคิดไม่ได้นะครับว่า ถ้าได้ “สัมผัส” พวกเขาสักครั้ง จะให้ความรู้สึกยังไง? คุณผู้อ่านหลายท่านคงเคยเจอเรื่องทำนองนี้มาก่อน และสงสัยไม่หายว่า ถ้าไอ้เพื่อนคนนั้นไม่ได้เป็นเกย์แล้ว ดันมาทำดี เทคแคร์ พูดจาหวานหู-ให้กรูฟังอย่างนี้ทำไม? เอ...มันคงเป็นไบฯ หรือว่า ก็เกย์แหละ แต่คงยังกลัวๆ กล้าๆ อยู่ หรือ...แค่อยากจะลองหยั่งเชิงดู?สับสนไหมล่ะครับกับอะไรๆ ในโลกที่มักไม่ชัดเจน ทว่ามองในมุมกลับ เป็นไปได้ไหมว่า เหล่าเกย์ที่อยู่ในสถานการณ์นั้น ไม่ได้คิดไปเอง แต่ป็นเพราะผู้ชายที่ไม่ได้เป็นเกย์แล้วมา “ให้ท่า” น่ะ มีจุดประสงค์อะไรบางอย่าง "แอบ" อยู่?

คุณ “Will Doig” (นามสกุลอ่านยากจัง) บรรณาธิการของ http://www.nerve.com/ (นิตยสารสำหรับผู้หญิงอยากรู้เรื่องเซ็กซ์แบบไม่ต้องกลัวอาย) มีคำตอบที่น่าสนใจ และอาจช่วยให้คุณผู้ชาย คุณผู้หญิง และคุณเกย์ที่อ่านเมโทรไลฟ์อธิบายสถานการณ์ที่เคยพบ หรือเคยเกิดกับตัวเองได้ คุณวิลล์เขียนไว้ใน “Out” นิตยสารเกย์ชื่อดังของอเมริกา ฉบับเดือนเมษายน โดยเขาไปสัมภาษณ์เหล่าผู้ชายที่มีนิสัย ชอบ “flirt” เกย์ ทั้งคนทำหนัง นักดนตรี นักการตลาด บรรณาธิการ ซึ่งส่วนใหญ่ในชีวิตการทำงาน พวกเขาต้องคลุกคลีและมีเกย์ที่เห็นๆ ตัวกันอยู่รอบตัว แต่ความจริงมีเกย์ในทุกแวดวงละครับ ต่างกันก็ตรงที่จะแอบหรือยินดีเปิดเผยพวกผู้ชายเหล่านั้นรู้ดีว่า คนที่เขาคุยด้วย หรือเพื่อนร่วมงานคนนั้นเป็นเกย์ และคนๆ นั้นก็ไม่ได้ปิดบังนะครับว่า ตัวเองเป็นเกย์ แต่ผู้ชายกลุ่มนี้กลับรู้สึกตื่นเต้นกระดี้กระด้าที่ได้ “เข้าหา” เกย์ซะยังงั้นคุณวิลล์บอกว่า มีหลายเหตุผลที่พวกผู้ชายเหล่านั้นมีอาการ “หมาหยอกไก่” กับหนุ่มเกย์ แทนที่จะเป็นคุณผู้หญิง เหตุผลหนึ่งก็คือ เป็นการฝึกบริหารเสน่ห์ การบริหารเสน่ห์แบบนี้ไม่มีพิษไม่มีภัยกับตัวเอง พวกเขาไม่ใช่มนุษย์ผู้ชายประเภทที่ว่า กลัวใครๆ จะมองว่าเป็นเกย์ เพราะเขาชัวร์กับตัวเองว่าชอบหญิง ผู้ชายเหล่านี้จึงไม่มีทางเกิดอาการ “ตื่นเกย์” (homophobia) แบบไร้สาระที่มักจะมีให้เห็นเป็นประจำในหมู่ผู้ชาย "บางคน" ที่ไม่มั่นใจในน้องชายของตัวเอง บางที พวกเขาก็จะเปิดทางปล่อยให้เกย์มาจีบบ้าง เพราะพวกเขาจะได้ศึกษาความรู้สึกของผู้หญิงว่า ถ้าเกิดมีผู้ชายมาจีบ จะรู้สึกยังไง จะทำตัวยังไง แล้วนำสิ่งเหล่านั้นไปปรับปรุงพัฒนาวิธีการหว่านเสน่ห์กับคุณผู้หญิงต่อไป คนเหล่านี้คงต้องขอบคุณเหล่าเกย์ไม่น้อย ถ้าเขาจีบหญิงติดอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ เป็นความพึงพอใจส่วนตัวของผู้ชายคนนั้นที่ได้ค้นพบว่า เขามีเสน่ห์ดึงดูดได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง มันคือความภาคภูมิใจอย่างใหญ่หลวงที่เขาสามารถเข้าถึงมนุษย์ทุกคนได้ในทุกสถานการร์ ไม่ว่า จะในโลกของผู้หญิง หรือโลกของชายเกย์ คุณวิลล์ยกตัวอย่างร็อบบี้ วิลเลี่ยมส์ที่ชอบไปบาร์เกย์ (แต่ผมว่า นายคนนี้ยังไม่ค่อยชัวร์) แล้วเขาก็ไม่ได้ปิดบังสื่อมวลชนว่า คบหาเป็นเพื่อนกับนักร้องเกย์อีกเยอะแยะ อีกตัวอย่างก็คือ คุณเดวิด เบคแคม คนนี้ไม่ต้องอธิบายมาก ลองคิดดูสิครับแค่เปิดใจกว้างเท่านั้น ก็ขายสินค้า และความดังให้ได้ทั้ง ผู้ชาย ผู้หญิง และเกย์ ผมเลยเริ่มเข้าใจแล้วว่า ทำไมหัวหน้างานคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ชาย มีเมีย และเมียกำลังท้องอยู่ กลับชอบคุย และเอาอกเอาใจเจ้าเพื่อนผมคนนี้ ถ้าใครดูผิวเผินจะคิดว่า สองคนนี้คงแอบกิ๊กกัน ใครๆ ในที่ทำงานก็รู้ว่า เพื่อนผมคนนี้เป็นเกย์ และบางทีคนในที่ทำงานก็อดสงสัยไม่ได้ว่า เจ้านายคนนี้คงแอ๊บไบฯ ซะละมั้ง แต่เจ้านายก็ไม่ได้กังวลว่า ใครจะมอง หรือคิดยังไง เพราะเขาเห็นว่า ลูกน้องคนนี้เป็นผู้ร่วมงานที่เขาจะไว้วางใจได้ และด้วยการงานที่ต้องติดต่อกันเป็นประจำ บวกกับอัธยาศัยที่ดีมีน้ำใจของทั้งสองฝ่าย เลยดึงดูดให้เข้าหากันผู้ให้สัมภาษณ์คนหนึ่งในเรื่องที่คุณวิลล์ไปคุยด้วยบอกว่า บางทีเขาก็ไม่รู้ตัวเองว่า กำลังบริหารเสน่ห์กับเพื่อนเกย์ตรงหน้า มันเป็นพฤติกรรมที่เขา “ไม่ได้ตั้งใจ” มันเกิดขึ้นเองจริงเหรอ?

ตรงนี้คงต้องฟังหูไว้หูนะครับโดยปกติ คนเราน่ะครับ ใครมาทำดีด้วย ก็รู้สึกดีด้วย แต่ทุกอย่างก็มีเส้นแบ่งบางอย่างที่บุคคลที่สามคงไม่มีวันรู้หรอกว่า มันอยู่ตรงไหนจนกระทั่งตัวเองได้อยู่ในสถานการณ์แบบนั้น เหล่าเกย์หลายคนก็ “ดีใจหาย” สิครับที่อยู่ๆ ก็มีผู้ชายมาให้ท่า ไม่วาย จิตใจเตลิดเปิดเปิงคิดไปไกลถึงเรื่องอื่นๆ ที่คอยบอกกับตัวเอง “ก็น่าจะเป็นไปได้” นะผมคิดว่า ถ้ามาถึงจุดนี้ คงต้องตั้งสตินิดหนึ่งนะครับ ความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กันมันอาจนำไปสู่ “sexual fantasy” ได้ไม่ยาก ซึ่งเป็นธรรมดาโลก ที่เกิดขึ้นได้เสมอ-ในใจ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง เป็นอีกเรื่อง คุณวิลล์เล่าไว้อย่างตรงไปตรงมาน่าฟังนะครับ เขาว่า คงต้องยอมรับว่า มีเกย์หลายคนฝันใฝ่และมุ่งมั่นที่อยากจะลองมีเซ็กซ์กับผู้ชายที่ไม่ได้เกย์ เพราะมันคือ ความท้าทายที่น่าลิ้มลอง มันคือ การต่อต้านกรอบและกฎแห่งข้อห้ามประดามีของมนุษย์ที่จะข้ามเส้นแบ่งแห่งการมีสัมพันธ์ทางเพศ

ผู้ชายคงคิดคล้ายๆ กันในมุมกลับ ก็เลยชอบอ่อยเกย์ เพื่อท้าทายอะไรบางอย่างผมว่า ก็คงเป็นอย่างนั้น เลยอยากจะบอกให้ผู้ที่อยากพิสูจน์ แวะไปบาร์หรือโรงออฟหนุ่มๆ นะครับ ลองถามผู้จัดการหรือพนักงานเชียร์แขกว่า ส่วนใหญ่แขกอยากจะออฟเกย์หรือออฟผู้ชายมากกว่ากัน?ถ้าตอนนี้คุณผู้อ่านเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในสถานการณ์โดนอ่อย หากทำไปแล้วเพลิน ก็ดีนะครับ

แต่จงมีสติไว้นิดนึง เพราะถ้าเผลอใจไปตกหลุมรักคนที่เป็นได้แค่ “หมาหยอกไก่” กับคุณแล้วละก็…

“วัฒนธรรมเกย์” คืออะไร?



วันเสาร์ยิ่งคุณออกไปพบเจอคนอื่นๆ มากขึ้น คุณจะยิ่งรู้ว่า จริงๆ แล้ว มีคนที่เหมือนคุณเยอะแยะ ผมเจอเกย์บางคนที่บ่นว่า ผมเป็นเกย์ แต่ร้องเพลงไม่เป็น ลองฟังเพลงโอเปร่า ก็ไม่เห็นจะซาบซึ้ง หุ่นผมก็ไม่เซ็กซี่ หน้าอกไม่นูน หน้าท้องไม่แบนราบ ผมก็จะบอกเขาว่า ยังมีคนอย่างคุณอีกมากมายที่ดูแสนจะธรรมดา แต่เป็นเกย์ และเมื่อคุณพบ คุณจะประหลาดใจ แล้วถ้าผมไม่ได้นิยมชมชอบอะไรอย่างนั้น อะไรล่ะที่หล่อหลอมหรือจะช่วยให้เกย์คนหนึ่งสื่อสาร ติดต่อ พูดคุยกับเกย์คนอื่นๆ แล้วรู้สึกว่า เรามีส่วนร่วมกันบางอย่าง เรามีความรู้สึกที่เข้าใจกันได้ และเราเป็น “พวกเดียวกัน” หลายๆ คนเลยบอกว่า เกย์ก็มีวัฒนธรรมนะ มีบางอย่างที่ทำให้เกย์สื่อสารกันได้ก่อนอื่น


เวลาเราพูดถึงคำว่า “วัฒนธรรม” คงต้องเริ่มต้นจากความหมายโดยพื้นฐานตามธรรมเนียม เราพูดว่า วัฒนธรรมจนชิน แอบหมั่นไหส้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นบางครั้ง แต่บางที น่าแปลก เราแปลไม่ออกว่า ตกลง วัฒนธรรมมันแปลว่าอะไรกันแน่


ตามรากศัพท์ที่ทราบกันแล้ว วัฒน ก็คือ ความดี ความเจริญงอกงาม ส่วนคำว่า ธรรม ก็หมายถึง ความมีระเบียบ มีแบบแผน มีหลักการ แต่คำว่า “เกย์” เหมือนจะอยู่ฝั่งตรงข้ามโดยสิ้นเชิง คำว่า “เกย์” มีความหมายทั้งทางตรง และทางอ้อมที่สร้างความรู้สึกในแง่ลบอยู่เสมอ แม้กระทั่งในใจคนเป็นเกย์เอง ซึ่งเป็นเรื่องน่าเศร้าและน่าอึดอัด


สำหรับผมแล้ว เวลาเจอเกย์ที่รู้สึกว่า ตัวเองเป็นสิ่งที่มีตำหนิ และหาค่าความภูมิใจอะไรไม่ได้ ผมสงสัยจังว่า เขาเคยคิดมองหามันจริงๆ จังๆ หรือยัง?ดังนั้น พอเวลาที่มีใครพูดคำว่า “วัฒนธรรมเกย์” ผมคิดว่า คนฟังคงรู้สึกขัดเขิน ขมวดคิ้ว นึกไม่ออก ทำหน้าปูเลี่ยนๆ หรือบางที หากไปพูดคำนี้กับใครที่จิตใจไม่ค่อยเปิดให้กับคนอื่น หรือคิดว่า ตัวเองไม่ต้องรับรู้อะไรที่แตกต่างออกไปในโลกนี้ เขาก็จะหาว่า ไม่เข้าท่าที่จะเอาคำว่า “วัฒนธรรม” มาผูกกับคำว่า “เกย์” อย่าเชียวนะที่จริงแล้วคำว่า “วัฒนธรรม” มีความหมายหลากหลายมากมายกว่าที่ว่าไว้


นักสังคมวิทยาก็จะให้ความหมายอย่างหนึ่ง นักมานุษยวิทยาก็ให้ความหมายอีกอย่างหนึ่ง คุณครูที่โรงเรียนก็คิดอีกอย่างหนึ่ง และในกระทรวงวัฒนธรรมก็อาจคิดเห็นไปคนละด้านคำว่า วัฒนธรรรม ในความหมายอื่นๆ ที่มีก็คือ วิถี หรือวิธีการดำเนินชีวิต พฤติกรรมของกลุ่มบุคคล หรือผลงานทั้งหลายทั้งปวงที่มวลมนุษย์ได้สร้างสรรค์ขึ้น แถมยังรวมไปถึงความคิด ความเชื่อ และความรู้ อีกด้วย


ปราชญ์คนสำคัญของไทย พระยาอนุมานราชธนอธิบายคำว่า วัฒนธรรมว่า เป็นสิ่งที่มนุษย์เปลี่ยนแปลงปรับปรุงหรือผลิตขึ้นเพื่อความเจริญงอกงามในวิถีชีวิตมนุษย์ ถ่ายทอดกันได้ เลียนแบบกันได้ เอาอย่างกันได้ อ้ะ ถึงตอนนี้ คุณผู้อ่านอย่าเพิ่งสับสนแล้วรีบฟันธงนะครับว่า อ้อ...ก็เป็นอย่างงั้นไง การเป็นเกย์นั้นมัน “ถ่ายทอดกันได้ เลียนแบบกันได้ และเอาอย่างกันได้” คุณพ่อ คุณแม่จึงต้องพึงระวัง ไม่ควรมีเกย์มาให้เห็นทางหน้าจอตู้สี่เหลี่ยม ไม่ควรมีเกย์ยืนตรงหน้ากระดานในห้องเรียน ไม่ควรมีเกย์ไปห่มผ้าเหลือง เพราะถ้ามีให้เห็นมากๆ จะเกิดการเลียนแบบ ถ่ายทอดและเอาอย่างกัน


ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงความสำเร็จทางวิทยาการ หนังสือชั้นเยี่ยม งานศิลปะชั้นยอด สิ่งประดิษฐ์มากมายก็มาจากบุคคลที่เป็นเกย์ทั้งนั้น จะโทษคนทั่วไปก็ไม่ได้ที่เขาไม่รู้ ที่เขาไม่รู้ ก็เพราะ ไม่มีใครไปเผยแพร่ให้เขารู้ ในเรื่องการให้ความหมาย ในอีกประเด็นหนึ่ง ผมไม่เห็นด้วยเลยที่หลายๆ คนใช้คำว่า “รสนิยมทางเพศ” และคำว่า “ไลฟ์สไตล์” เวลาบอกใครๆ ให้เปิดใจรับฟังหรือเวลาสนทนากันโดยทั่วไปที่มีประเด็นเรื่องการยอมรับ หรือไม่ยอมรับของสังคม แล้วบอกว่า เกย์เป็นรสนิยมทางเพศ/ หรือไลฟ์สไตล์อย่างหนึ่ง ซึ่งความจริงเคยพูดไปหลายครั้งแล้ว แต่...อยากพูดอีกสองคำนี้นะครับ ต้องยอมรับว่า ฟังง่าย สำเร็จรูป ใช้สะดวก พอๆ กับคำว่า “ชายจริงหญิงแท้” ที่พูดกันจนเกร่อ จนชินหู จนชินปาก แต่อย่าลืมนะครับว่า คนฟัง ก็อาจตีความต่อไปเอาเองว่า อ๋อ...เป็นเกย์เหรอ ก็เป็นรสนิยมทางเพศ เป็นแค่ไลฟ์สไตล์หนึ่ง และคิดต่อไปในใจ แล้วทำไม เอ็งไม่เปลี่ยนรสนิยม หรือเลิกใช้ชีวิต (lifestyle) แบบนั้นล่ะ จะได้ไม่ต้องมาอึดอัดกับชาวบ้าน จะได้เหมือนชาวบ้านที่เป็น "ชายจริง-หญิงแท้" นะ?


ในประเด็นนี้ การเป็นเกย์ไม่ใช่รสนิยม (รสนิยมเปลี่ยนกันได้) และไม่ได้จำกัดอยู่ที่ไลฟ์สไตล์ (ไลฟ์สไตล์ ก็เปลี่ยนกันได้) แต่ในความเป็นจริง ผมว่า คนส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยเข้าใจที่ว่า ทำไมเป็นเกย์มันถึงเปลี่ยนกันไม่ได้ เกย์คือ เกย์ เกย์ก็คือมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่ถูกกำหนดให้เกิดมาเป็นอย่างนั้นเอง การที่เกย์คือมนุษย์กลุ่มหนึ่งนี่เอง เกย์ย่อมมีอะไรที่คล้ายๆ กัน รู้สึกคล้ายๆ กัน ปฏิบัติตัวบางอย่างคล้ายๆ กัน มีสื่อสัญญาณ หรือความเป็นไปในชีวิตที่เราไม่เคยถูกสั่งสอน แต่กลับรู้สึกได้เหมือนกัน เกย์มีการให้คุณค่าบางอย่างที่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเฉพาะเกย์ในประเทศไทย แต่ทุกเกย์ทั่วโลก


บทเรียนเกี่ยวกับเกย์ไม่มีสอนในโรงเรียนนี่ครับ แต่ทำไมนะเกย์ที่เมืองไทย เวียดนาม หรืออูกานดาก็รู้สึกอะไรบางอย่างได้เหมือนกัน? ผมคิดว่า สิ่งเหล่านั้นถูกผูกโยงเข้าด้วยกันเพราะคนเป็นเกย์ให้คุณค่ากับบางสิ่งบางอย่างที่คนทั่วไปไม่จำเป็นต้องโหยหา เช่น อิสระ ความรู้สึกอยากจะหลุดพ้นจากพันธนาการ ไม่ต้องการให้ใครมากำหนดวิถีชีวิต มีความเป็นตัวของตัวเอง รักความยุติธรรม และเห็นใจเพื่อนมนุษย์เราจะเรียกสิ่งเหล่านี้ที่พูดมานี้ว่า เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมเกย์ได้ไหม?ผมเลยคิดว่า ความนิยมเพลงดิสโก้ ชอบไปคลับ ไปบาร์ ไปท่องเซาน่า ติดเพลงโอเปร่า หรือละครเพลง คลั่งไคล้สินค้าแบรนเนม หรือเสื้อผ้า แฟชั่นนั้น และในยุคสมัยนี้ เกย์นิยมไปยิมฯ สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงแค่ ความชอบของคนกลุ่มหนึ่ง คุณจะเรียกมันว่า เป็น gay sub-culture ก็ได้ไม่ใช่เกย์ทุกคนที่เป็นอย่างนั้น


ดังนั้นถ้าคุณหุ่นไม่ดี เต้นระบำในคลับไม่เป็น ไม่รู้ว่า ใครเป็นคนร้องเพลง “I Will Survive” หรือเพลง “I Am What I Am” มีความหมายว่าอะไร หรือไม่รู้ว่า จริงๆ แล้วเพลง My Way “เกย์จะตายไป” ก็ไม่ต้องเดือดร้อนนะครับ เพราะคุณก็เป็นเกย์ในอีก sub-culture หนึ่ง


เรื่องนี้คงต้องตั้งคำถามกันต่อไป แต่มีอีกคำถามหนึ่ง แล้ว...วัฒนธรรมของเกย์ไทยน่ะ มีมั๊ย?

หลุด คลิปมาริโอ้ เจ้าตัวรับทำมือถือหาย

หลุด คลิปมาริโอ้ เจ้าตัวรับทำมือถือหาย ไม่แน่ใจใช่ Clip ผมหรือเปล่า

ต่อกรณีหลุด Clip มาริโอ้ - โอ้อึกอักปัดตอบ คลิปมาริโอ้ นัวเนียกุ๊กกิ๊บหลุด อ้างมือถือหาย ขอเห็นคลิปก่อนถึงจะพูดได้
เรียกเสียงฮือฮาไปทั่วคลองถม เมื่อรู้ว่าล่าสุดมี Clip หน้าคล้ายของหนุ่มฮ็อตอย่าง “มาริโอ้ เมาเร่อ” กำลัง XXX สาวโผล่ออกมา แต่ยิ่งไปกว่านั้นสาวหน้าตาใสๆ ในคลิปโอ้ ยังคล้ายคลึงเหมือนกับหวานใจสาวกุ๊กกิ๊บอีกด้วย ล่าสุดเจอหนุ่มมาริโอ้เลยเข้าไปซักถามไขข้อสงสัย ซึ่งเจ้าตัวถึงกับอึกอัก แล้วก็เผยว่า “ขอบอกว่าขอไม่พูดดีกว่า เพราะว่าผมยังไม่เห็นคลิปอะไรเลย ผมก็เลยไม่ทราบจะบอกได้ ว่ามันเป็นอะไรยังไง”
ภาพคลิปมาริโอ sweet กับ กุ๊กกิ๊กที่หาด
ต่อข้อสงสัยเกี่ยวกับกรณี Clip มาริโอ้หลุด
มาริโอ้เคยไปถ่ายรูปทำนองนี้บ้างมั้ย “เท่าที่จำได้ไม่เคยมี”
หน้าสาวคนนี้เหมือนหน้ากุ๊กกิ๊บเลย “ไม่ขอออกความคิดนะครับ เพราะผมก็ยังไม่ได้เห็นเลย” เคยถ่ายกับกุ๊กกิ๊บบ้างมั้ย “ไม่มีแน่นอนครับ”
เคยทำมือถือหายบ้างมั้ย “มือถือผมก็พึ่งหายไม่นานนี้เองครับ แล้วก็เลยมีข่าวแบบนี้ออกมา แต่มือถือของผมเป็นรุ่นที่เก็บได้แค่รูป เรื่องของ คลิปมาริโอ้ แบบนั้นไม่มีแน่นอน”
ในกล้องมีถ่ายรูปกันบ้างเปล่า “ก็ถ่ายรูปได้แต่มีรูปคู่ผมกับกุ๊กกิ๊บแค่รูปเดียว
นอกนั้นเป็นแค่รูปรถและก็รูปวิว” รู้สึกหวั่นบ้างมั้ย ” ไม่หวั่นเพราะผมรู้ตัวเอง มั่นใจ ไม่ขอออกความคิดเห็นมากกว่า”
ยิ่งไม่พูดออกมาอย่างนี้ หลายคนจะตีความว่าเป็นเรื่องจริง “คือผมไม่รู้ว่าคลิปเป็นอย่างไร ที่เขาบอกว่าหน้าเหมือนผมแล้วเป็นอย่างไร ผมต้องขอดูก่อนแล้วจะบอกได้ ว่ามันใช่ผมหรือเปล่าครับ”
ผมต้องขอดูก่อนแล้วจะบอกได้ ว่ามันใช่ผมหรือเปล่าครับ”
คิดจะไปตามหาดูมั้ย “คงไม่ตามครับ ก็คงถามพี่ๆเขา ให้เขาลองหาๆดู ว่าเป็นอย่างไร”
รู้สึกกังวลบ้างมั้ย “ไม่กังวลครับเป็นเรื่องปกติ สมัยนี้ใครมีมือถือจะมีคลิปหลุดได้ทั้งนั้น จะเป็นดาราหรือไม่เป็นดาราก็มีคลิปหลุดทั้งนั้น ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่คิดว่าต้องไปซีเรียสมัน มีอะไรที่ซีเรียสกว่าเรื่องนี้ต้องเยอะ”
มีหลายคนว่าได้ดู ก็บอกเป็นเสียงเดียวว่าใช่แน่นอน “อันนี้ผมก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี โอ้พูดไม่ได้เลย เพราะยังไม่เห็นจริงเลย ผมก็บอกไม่ได้ว่าเป็นอย่างไร”
สมัยนี้ใครมีมือถือจะมีคลิปหลุดได้ทั้งนั้น จะเป็นดาราหรือไม่เป็นดาราก็มีคลิปหลุดทั้งนั้น
หากมันเป็นเรื่องจริง จะไปฟ้องร้องบ้างมั้ย “โอ้ว่าคงไม่”
ยังยืนยันว่าไม่มีแน่นอน “ไม่มีครับ” เราจะไม่ดำเนินการอะไรทั้งสิ้นเลยใช่มั้ย “ไม่ขอออกความคิดเห็นครับ”
ก็เห็นพูดกันแบบนี้ทุกคน แต่สุดท้ายไม่ว่าจะเป็นคลิปโฟร์มด Clip อ้น ที่หลุดๆออกมาก็มักจะเริ่มต้นด้วยเรื่องราวแบบนี้ทั้งนั้น งานนี้คงมีสาวๆหนุ่มๆอยากหา download ดูเพียบอย่างแน่นอน

“มาริโอ้” มีเสียว ลือสะพัดมีคลิปมาริโอ้ฟัดแฟนสาว

“มาริโอ้” มีเสียว ลือสะพัดมีคลิปมาริโอ้ฟัดแฟนสาวว่อนไม่หยุด อ้ำอึ้งไม่แน่ใจว่าเป็น Clip ตัวเอง

หลังจากถูกถามเรื่อง คลิปมาริโอ้ มาหลายรอบ คราวนี้เจ้าตัวชักเริ่มหวั่นๆว่ามันจะเป็นคลิปมาริโอ้ตัวจริง หรือว่าหน้าคล้ายมาริโอ้กันแน่ นอกจากนี้หลายๆกระแสยังเริ่มจับพิรุธ โอ้ อ้ำๆอึ้งๆตอบไม่เต็มปากเวลานักข่าวถามเรื่อง Clip มาริโอ้ ทุกครั้ง
“มาริโอ้” มีเสียว ลือสะพัดมีคลิปฟัดแฟนสาวว่อนตลาดมืด เจ้าตัวตอบไม่เต็มปากขอดูคลิปที่ว่าก่อนชี้ชัดคลิปจริงหรือของปลอม แต่ยืนยันว่าไม่เคยถ่าย
ปฏิเสธว่าไม่ใช่แต่เจ้าตัวขอร้องอย่าให้พูดเรื่อง Clip มาริโอ้เลย
ถึงกับหน้าถอดสีเลยทีเดียว สำหรับพระเอกดาวรุ่ง “มาริโอ้ เมาเร่อ” หลังถูกถามถึงเรื่องคลิปวิดีโอของเจ้าตัวนัวเนียอยู่กับแฟนสาว “กุ๊บกิ๊บ สุมณทิพย์ เหลืองอุทัย” หลุดออกมาคล้ายกับกรณีของ “อ้น สราวุธ มาตรทอง” งานนี้ทำเอาหนุ่มโอ้รีบออกตัว ไม่ขอออกความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้
คลิปหลุดหน้าเหมือนโอ้ ขอไม่พูดดีกว่า เพราะผมยังไม่เห็นคลิปเลย เลยยังไม่สามารถบอกพี่ๆ ได้ แต่เท่าที่จำได้ไม่เคยมีนะครับ ส่วนผู้หญิงในคลิปบอกว่าเป็นกุ๊บกิ๊บ อันนี้ผมก็ไม่ขอออกความเห็นเหมือนกัน
window.google_render_ad();
“แต่ถ่ายคลิปด้วยกันไม่มีแน่นอน ในมือถือมีแค่รูปถ่ายคู่กันรูปเดียวเอง ที่เหลือเป็นรูปรถยนต์แล้วก็วิว แต่มือถือเพิ่งหายถึงมีข่าวนี้ออกมา แต่มือถือผมมันเป็นรุ่นที่เก็บได้แค่รูป เรื่องคลิปนี่ไม่มีแน่นอนครับ” ผู้สื่อข่าวถามต่อปฏิเสธออกความคิดเห็น กลัวคนจะตีความว่าไม่มั่นใจและกลัวมีคลิปหลุดมาจริงๆ “มาริโอ้” ลั่นไม่หวั่น พร้อมย้ำมั่นใจว่าไม่เคยถ่ายคลิปเก็บในโทรศัพท์…“ไม่หวั่น ไม่เครียดครับ เพราะเรารู้ตัวเอง เรามั่นใจแล้วเราก็ไม่ขอออกความเห็นจะดีกว่า” “คือ ผมไม่รู้ว่าคลิปเป็นยังไง แล้วที่บอกว่าหน้าเหมือนผมเป็นยังไงแล้วถึงจะบอกได้ แต่โอ้ว่ามันเป็นเรื่องปกติ สมัยนี้ใครก็มีมือถือก็มีคลิปหลุดได้ จะเป็นดาราหรือไม่เป็นดาราก็มีคลิปหลุดได้ เป็นเรื่องส่วนตัว แล้วก็เป็นเรื่องที่ไม่เห็นต้องไปซีเรียสเลย มีเรื่องให้น่าซีเรียสกว่านี้เยอะ” กุ๊บกิ๊บแฟนมาริโอ้ จะใช้คนที่อยู่ใน clip มาริโอ้หรือเปล่าซึ่งคงต้องลองสังเกตดีๆ
มีคนดู Clip มารีโอ้แล้วคอนเฟิร์มว่าคือโอ้จริงๆ
จากนั้นผู้สื่อข่าวย้ำมีคนได้ดูคลิปหน้าเหมือนมารีโอ้แล้วคอนเฟิร์มว่าคือโอ้จริงๆ พระเอกหนุ่มสุดออตยังยืนยันไม่ออกความคิดเห็นเช่นเดิม ลั่นขอเวลาหาคลิปมาดูก่อนแจงทุกข้อสงสัย
“อันนี้ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไงจริงๆ ครับ พูดไม่ได้เลยเพราะโอ้ยังไม่เห็น เลยยังบอกอะไรไม่ได้ เดี๋ยวไว้ให้พี่ๆ เขาช่วยหามาให้ดูก่อนดีกว่า แล้วถึงจะบอกได้ แต่มั่นใจไม่มีแน่นอนครับ (หัวเราะ)”
เอ้า! ไปท้าเค้าแบบนี้ เดี๋ยวเค้าจัดไปให้ เหวอแน่!

แค่อยากจะบอกว่า…ก้อมันไม่ใช่

Thursday, October 16, 2008






เบื้องหน้าของ “ต่อ” คือ ชายร่างสูงเกือบ 180 ซม. ใบหน้ามีเคราเขียวจางๆ ผมปัดเป๋ เขาไม่ได้ดูอ้วนลงพุง เส้นผมบนศีรษะก็ไม่ได้บางลงเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ของต่อที่แต่งงานและมีลูกแล้ว


ขอบใจนะที่มา “จร” พูดแล้วนั่งลง พลางมองไปรอบๆ เขาคงไม่รู้จักใครเลยที่ร้านอาหารแห่งนี้ และที่กรุงเทพฯ นี่คงไม่มีใครรู้จักเขา ดีจริง เขาเรียกพนักงานมาสั่งเบียร์


“ไม่น่าเชื่อเลย ใช่มั๊ย? ถ้าวันนั้น เราไม่ไปสาย คงไม่ได้เจอนายที่นั่น” ต่อเปิดบทสนทนาแล้วยิ้มให้ อดไม่ได้ที่จะแอบสังเกตรายละเอียดบนใบหน้าของจรยามเมื่ออยู่ใกล้ๆ ผ่านแก้วเบียร์ของเขาที่ยกขึ้นซด และใช้บังสายตาเขาตอนนี้


สองปีที่แล้ว ต่อกำลังจะเดินทางไปมาเลเซีย ส่วนจรกำลังจะกลับบ้านเกิดที่ต่างจังหวัด ตอนนั้นสุวรรณภูมิยังไม่ได้แยกเที่ยวบินในประเทศกลับไปอยู่ดอนเมือง ทั้งสองคนหันมาเห็นกันโดยบังเอิญที่เคาน์เตอร์ของสายการบินตอนเช็คอิน


จังหวะนั้น สองคนแทบจะกระโดดเข้าใส่กัน แต่เพราะต่อกำลังจะตกเครื่อง จึงทำได้เพียงร้องทักทาย “เดี๋ยวเราขอที่อยู่นายกับที่บ้านนายนะ” ต่อตระโกนบอกก่อนจะกุลีกุจอหอบกระเป๋าวิ่งหน้าตั้งไปด่านตรวจ
สิบกว่าปีมาแล้วที่สองคนไม่ได้เห็นหน้ากันเลย บางครั้งต่อก็นึกอิจฉาจรเหมือนกัน ทั้งๆ ที่พ่อของทั้งสองก็ทำมาหากินมาคล้ายๆ กัน แต่ฐานะทางบ้านของจรดีกว่าต่อหลายขุมนัก


ตอนประถมหนึ่ง เขาอยู่กันคนละห้อง ต่อจำได้ว่า เขาเรียนดีกว่าจรหลายเท่า แต่คนเรียนเก่งมักจะสู้ผู้ชายอีกคนไม่ได้ตรงความฮ็อต ประเด็นนี้ปรากฏชัดเจนขึ้น เมื่อโรงเรียนชายล้วนที่เขาเรียนกันมาตั้งแต่เด็ก มีนักเรียนหญิงมาเรียนร่วมด้วยตอนเขาทั้งสองขึ้น ม. 4


“ผมน่ะ ไม่เคยเรียนห้องเดียวกับมันเลยนะ ตอนประถมถึงมัธยม ก็เห็นๆ หน้ากันอยู่ ไม่ค่อยชอบหน้ามัน ไงก็ไม่รู้ แต่พอดีพ่อผมกะพ่อมันเป็นเพื่อนสนิทกัน จะได้คุยกันก็ตอนพ่อมันพาบ้านมันมาออกไปกินข้าวกับบ้านผม พอเห็นอยู่โรงเรียนเดียวกัน ก็จับให้เรานั่งด้วยกัน ให้คุยกัน แต่ผมก็คุยกันไปงั้นๆ ตอนนั้นน่ะ ผมรู้ตัวแล้วล่ะว่า ผมเป็นเกย์ ผมคงรู้สึกเหมือนมีอะไรแตกต่างระหว่างเราอยู่เยอะ” ต่อเล่า


แต่ตอนมัธยม บางสิ่งบางอย่างเริ่มเปลี่ยนไป ผู้หญิงวิ่งเข้าหาจรให้ตรึมในฐานะหนุ่มหล่อของโรงเรียน
“มันก็จีบหญิงไปดะนะพี่ ไม่เว้นแม้กระทั่งเพื่อนผม พอดีเพื่อนผมคนนี้ หน้าตาดี เป็นสาวลูกครึ่งไทยเดนมาร์ค เหมือนนางแบบเปี๊ยบเลย ใครๆ ก็มารุมรัก มันได้เปรียบกว่าคนอื่น เพราะมีผมนี่แหละที่เป็นสะพานให้มัน น่าจะเรียกว่าเป็นทางด่วนซะมากกว่า” ต่อหัวเราะ


จรกับเพื่อนของต่อกลายเป็นคู่รักที่ใครๆ ทั้งโรงเรียนต่างพากันอิจฉา เวลามีเรื่องทะเลาะกัน ก็มีนายต่อนี่แหละคอยช่วยประสานรอยร้าว จรมารู้ทีหลังว่า ต่อเป็นเกย์ ก็จากปากแฟนสาวคนนี้ แต่ทำยังไงได้ ถ้าไม่ได้นายต่อ จรคงไม่ได้เป็นแฟนกับหล่อน


“ทะเลาะกันที มันก็ต้องวิ่งมาหาผม ผมล่ะเซ็ง มันก็ไม่คิดอะไรนะที่ผมเป็นเกย์ ทั้งๆ ที่มันก็ไม่ค่อยชอบเกย์ กะเทยเท่าไหร่ คงเป็นเพราะเห็นกันมานาน แต่จริงๆ มันจะคิดยังไงกับผมเหรอ? ไม่ชอบผมเหรอ? ผมไม่แคร์หรอก”


ทั้งจรและเพื่อนคนสวยของต่อคบกันมาจนถึง ม. 5 ก็ต้องแยกย้ายกันไป หล่อนสอบเทียบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ส่วนจร ที่บ้านส่งไปเรียนต่ออเมริกาตั้งแต่นั้น และแล้วในวันนี้ เพื่อนสองคนก็ได้เจอหน้ากันอีกในวัยสามสิบต้นๆ


“ตอนเราโทรไปบ้านนายปีนั้นน่ะ หลังจากที่เราเจอนายที่สนามบิน ที่บ้านบอกว่า นายกำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงฝรั่ง เป็นไงบ้างล่ะ แล้วนี่ เมียนายไปไหน ไม่บินกลับมาเยี่ยมบ้านด้วยกันเหรอ?”


“ไม่หรอก เรากลับมาคนเดียว เราไม่ได้มาเยี่ยมบ้านนะ” จรตอบ สีหน้าเขาสลดลง “เราเลิกกันแล้วล่ะ” เขาก้มหน้าลง


“อ้าว!?!”
“ลูกเรา ก็ให้เค้าเลี้ยงไป เราจ่ายค่าเลี้ยงดูอยู่ตอนนี้ เรามาอยู่บ้านสามสี่เดือนแล้วนะ ตอนนั้นน่ะ ถ้านายอยู่อเมริกา ไม่ว่าตรงไหน เราจะบินไปหานายเลยนะ เราไม่รู้ว่า มันเกิดขึ้นได้ยังไง เรามีเรื่องจะบอกนาย แต่…นายอย่าบอกใครนะ เราไม่มีใครแล้ว”


แล้วลูกผู้ชายหน้าหล่อตรงหน้าก็เริ่มสะอึกสะอื้น ต่อแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยว่า เพื่อนของเขากำลังร้องไห้ออกมา เขาส่งสายตาปลอบโยนไปให้ และพยักหน้าตั้งใจรับฟัง จรกระดกแก้วเบียร์ แก้วที่เท่าไหร่ไม่รู้ อีกครั้ง


“เราไม่ได้อยากเลิก แต่มันจำเป็นน่ะ ตอนอยู่ที่โน่น เรากับเค้าก็อยู่ด้วยกันดีๆ แต่ปีที่แล้ว บริษัทส่งเราไปสัมมนาอีกเมือง ตอนนั้นเราต้องไปกับเพื่อนร่วมงาน เราก็รู้ว่า ไอ้หมอนั่นมันเป็นเกย์ แต่เราก็ไม่คิดอะไร สัมมนาเสร็จเราก็ไปดื่มกัน แล้วคืนนั้น เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ เรากับผู้ชายคนนั้น มีอะไรกัน”


ต่อสังเกตจรเริ่มหายใจขัด ใบหน้าที่เคยขาวใสของเขา ตอนนี้เริ่มแดงจัดขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์เบียร์หรือเพราะสิ่งที่เขาเพิ่งพูดออกมา จรเริ่มขยับเก้าอี้อีกครั้ง เขาหันรีหันขวางเหมือนเก้าอี้มันกำลังบีบรัดให้เขาทนนั่งอยู่ไม่ได้ ถ้าวิ่งออกไปได้ ต่อคิด จรคงหายวับไปแล้ว


“นายแน่ใจเหรอ มันก็แค่ครั้งเดียว อย่าคิดมาก คงเพราะนายเมามั้งวันนั้น”
“พอเรากลับบ้าน นายรู้เปล่า อะไรๆ มันก็เปลี่ยนไป เรารู้สึกว่า สิ่งที่เราทำอยู่มันไม่ใช่ เราไม่รู้สึกอยากมีอะไรกับเมียเราอีกเลย กับคนนั้นก้อ…มันก็ไม่ได้วิเศษอะไรตอนเราทำไป แต่มันรู้สึกแปลกๆ น่ะ นายเข้าใจมั๊ย มันเกิดขึ้นได้ยังไง? มันเกิดขึ้นกับเราได้ยังไง? เรามีลูกแล้วนะ ลูกเราน่ะขวบนึงแล้ว” จรละล่ำละลัก
ตอนนี้น้ำตาของเขาเอ่อล้นออกมาอย่างไม่อายใครอีกแล้ว ต่อรู้สึกสงสารจับใจ แล้วจะให้เขาทำยังไง? เขาทำอะไรไม่ถูกแล้ว ก็เพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่า ที่เพื่อนนัดมาวันนี้เพื่อจะพูดเรื่องนี้กับเขา หรือจะส่งกระดาษทิชชู่ให้เขา เอาจังหวะนี้เลยเหรอ?


“ที่บ้านเราน่ะ เค้าดีใจนะ ที่เรากลับมาบ้านจะได้ทำกิจการที่บ้าน รู้มั๊ย เค้าบอกว่ายังไง ไม่เป็นไรหรอกลูก เดี๋ยวป๋ากับแม่จะหาใหม่ให้ อยู่บ้านเราแหละดีแล้ว บ้านเราเค้าไม่รู้หรอกว่า เราเป็นอะไร เรารู้สึกยัไง เราจะบอกกับพวกเค้าได้ยังไงล่ะ บางครั้งมันก็อ้างว้างมากเลยนะต่อกับการไม่มีใคร นายเข้าใจที่เราพูดมั๊ย”
จรเล่าอีกว่า สองเดือนก่อนเขารู้จักผู้ชายอีกคนหนึ่งที่อยู่จังหวัดติดๆ กัน หนุ่มคนนั้นไม่ได้ปิดบังอำพรางใครในชีวิตว่าตัวเองเป็นเกย์ พอคบกันสักพัก จรก็ตัดสินใจบอกว่า “เราอยู่กับคนพวกนี้ไม่ได้หรอก ทำไมต้องแสดงออกอะไรกันด้วย”


ต่องงๆ กับสิ่งที่ได้ยิน “ผมก็ยังไม่แน่ใจนะพี่ว่า มันเป็นเกย์หรือเปล่า หรือมันเข้าใจอะไรผิดๆ ไป มันจะเป็นเกย์ได้ยังไง” ต่อเล่า


หลังจากดื่มไปอีกแล้ว จรเริ่มจ้องหน้าต่อ เขานิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาว่า “ต่อนายยังไม่ใครใช่มั๊ย นายว่า…เรากับนายเป็นแฟนกันได้มั๊ย” จรโพล่งออกมา



หา? ให้ตายเถอะ ต่อคิดในใจ ตอนนี้ เขาไม่แน่ใจว่า ใครสับสบกว่าใคร ความคิดของจรที่อยากเป็นแฟนกับเขา มันมาจากไหน?


“ต่อ นายน่ะไม่มีใครดูออก แล้วก็ไม่มีใครดูเราออก บ้านเรากับบ้านนายก็สนิทกัน เราคงไปไหนมาไหนด้วยกัน เข้าออกบ้าน ไม่มีคนสงสัย พอใครๆ ถามว่า ทำไมเราไม่แต่งงานใหม่ เราก็บอกได้นี่ว่า ต่อมันยังไม่เห็นจะแต่งเลย นะ…นายเป็นแฟนเรานะ”

ทฤษฎี “เกย์ 6 ขั้น” มองเกย์ให้ทะลุ




“แอบจิต” “สว่างจิต” “สลัวจิต” เป็นคำเรียกที่ “อาจารย์เสรี” ใช้จัดระดับการยอมรับ หรือเปิดเผยตัวเองในหมู่มนุษย์สีรุ้ง ใครแอ๊บมากๆ ก็จะถูกเหยียบย่ำซ้ำเติมและโดนตราหน้าอีกทีว่า “อีแอบ” แปลก…คำนี้มักใช้กับชายเกย์ แต่ไม่ค่อยใช้สำหรับหญิงเลสเบี้ยนที่ยังต้องแอบ ซึ่งก็มีอยู่จำนวนมไม่น้อย


แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คงไม่มีใครชอบใจหรือยืดอกยิ้มรับหรอก หากโดนจิกแล้วเรียกเป็นอ้าย-อี จริงมั๊ย? แต่ถ้าใครยังเพลิดเพลินกับการเล่นซ่อนแอบอยู่ตามซอกหลืบ หรือในใจเค้าเอง ก็คงต้องปล่อยเค้าไป สำหรับคุณผู้อ่านที่ติดตามคอลัมน์นี้อยู่ ผมเชื่อว่า คงไม่เพลินแล้วล่ะ….ใช้ชีวิตในมุมมืดน่ะ มันเหงานะคุณ


เมื่อหลายปีมาแล้ว นักจิตวิทยาและนักบำบัดด้านเพศคนดังท่านหนึ่งชื่อ Dr. Vivienne Cass ได้สร้างแบบ “จำลองหกขั้น” ขึ้นมา ผู้คนเรียกสั้นๆ ว่า “Cass Model” เพื่อใช้อธิบายการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาการของคนๆ หนึ่งในการ “ยอมรับ” หรือ “ปฏิเสธตัวเอง” ว่า ฉันเป็นคนรักเพศเดียวกัน


โมเดลนี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันในปัจจุบันพอสมควรว่า เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ของโลกยุคนี้ หรือเปล่าหนอ?


อ่านๆ ดูแล้ว ผมก็ไม่เห็นมันจะโบราณสักเท่าไหร่ ยิ่งลองเอาโมเดลนี้มาย้อนดูตัวเอง เทียบกับผู้คนรอบข้างที่พบเจอ ผมว่า มันก็น่าจะจริงอยู่หลายประเด็น ที่สำคัญคือ อาจเป็นประโยชน์ เวลาสำรวจการปรับตัวของบุคคลใดบุคคลหนึ่งอย่างถ่องแท้ รวมถึงตัวคุณเองด้วย และมันน่าจะดีนะ สำหรับคุณผู้หญิงที่พยายาม “เข้าใจเค้าคนนั้น” ที่คุณแอบมีใจให้ รับรอง แนวความคิดนี้จะสามารถอธิบายอะไรๆ เพิ่มเติมได้จาก แอบจิต สว่างจิต สลัวจิตที่คุ้นกัน


ในเว็บหลายเว็บ มีคนเกย์ใจดีได้แปล 6 ลำดับขั้นตอนของ “Cass Model” ไว้อย่างสวยทีเดียว ผมขออนุญาตนำมาเผยแพร่ต่อและขยายความตามความเข้าใจและตามประสบการณ์ชีวิตเกย์ของผมเองก็แล้วกัน อ้อ! นิดหนึ่ง จากขั้นตอนต่างๆ เหล่านี้ จะเห็นว่า บางคนก็ย่ำอยู่กับที่ บางคนก็ก้าวไปขั้นหนึ่งแล้ว แต่ก็มีเหตุให้ย้อนกลับมายืนอยู่ตรงที่เดิม และเพื่อความรื่นไหลในการอ่าน ขออุปโลกน์ตัวละครชื่อ “เอก” ก็แล้วกัน พอดีสำรวจดูคร่าวๆ หลายปีแล้ว ชื่อเอก เป็นชื่อยอดนิยม ไม่เชื่อลองกดมือถือ แล้วนับดูสิ

1. ขั้น “สับสน” หรือ Identity Confusion“เราเป็นอะไร แปลกๆ หวิวๆ เวลาอยู่ใกล้ไอ้พล มันก็แค่นักบอลโรงเรียน?” “ไม่มีทางหรอก ผมเป็นเกย์ไม่ได้หรอก ก็ยังชอบดูผู้หญิงสวยๆ หุ่นดีๆ อยู่นี่นา” “หรือว่า ผมเป็นไบ?” เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างคำถามในขั้นสับสนของเอก แต่เหล่าเกย์ก็เคยถามตัวเองมาแล้วทั้งนั้น แต่พอถามไปถามมา บางท่านก็หยุดคิด หยุดสำรวจไปเลย สุดท้ายปิดประตูแน่นหนา ประกาศก้องข้าไม่ข้องแวะหรือยุ่งเกี่ยวอะไรๆ ที่เกี่ยวกับเกย์ทั้งสิ้น ส่วนในคนที่รู้สึกสับสนรุนแรงเอามากๆ ไม่ใช่แค่ปิดประตูตายอย่างเดียวนะคุณ เค้าจะออกอาการต่อต้านรุนแรงอีกตะหาก พบเห็นอาการนี้ได้ทั่วไปในเว็บบอร์ด


2. ขั้น “อยากเปรียบเทียบ” หรือ Identity Comparisonในขั้นนี้ เอกเริ่มอยากสำรวจตัวเองมากขึ้น เพราะความรู้สึกอึดอัดมารุมเร้าบั่นทอนคุณภาพชีวิต อย่างนี้ล่ะ เรียกว่า Survivor ตัวจริง เขาจะถามตัวเองบ่อยขึ้น ถามอย่างเดียวไม่พอนะ ยังคอยสอดส่ายสายตาไปรอบๆ ลองเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นๆ เอกเริ่มลองชั่งน้ำหนักด้วยว่า การเป็นเกย์ของตนจะทำให้ “ได้” หรือ “เสีย” อะไรไปบ้าง (เอ…แต่ผมว่า น่าจะมีแต่ได้-ได้ล่ะไม่ว่า)
ในบางกรณี เอกก็นึกอยากจะ “ลอง” เพื่อให้รู้ว่า ตัวเองชอบเพศเดียวกันหรือไม่ อันนี้ ไม่รวมถึงอยากจะรู้ว่า ฉันชอบ “รับ” หรือ “รุก” มากกว่ากัน บุคคลใดที่ตกอยู่ในขั้นนี้มักพบว่า ยังไม่พร้อมที่จะยอมรับความจริงของตัวเองอยู่ดี แม้เซ็กซ์ที่ผ่านไปเมื่อคืนมันชุ่มฉ่ำหนำใจสักเท่าไร เขาก็ยังเลือกเฉไฉไปว่า คงเป็นชั่ววูบ อารมณ์เปลี่ยวพาไป หรือไม่ก็โทษสุรายาเมานั่นแหละ



3. ขั้น “พอรับได้” หรือ Identity Tolerance นานวันเข้า เอกเริ่มปรับตัว เพราะความสนใจส่วนตัวที่มีมากขึ้น และอาจมีแรงผลักดันมาจาก “เซ็กซ์” หวานครั้งนั้นที่อยากได้อีกสักครั้ง ซึ่งถือว่า สิ่งเหล่านี้เป็นแรงขับด้านบวกนะครับ บัดนี้ปุ่ม “Alert” ของเขาเริ่มทำงานแล้ว เขาเริ่มไม่อยากอยู่คนเดียวอีกแล้ว เขาอยากคุยกับคนอื่นมากขึ้น จากที่คอยหลบซ่อนตาม URL หรือล็อกอินผ่าน MSN ตอนนี้เอกเริ่มอยากไปสีลม ไปเจอเกย์คนอื่นๆ อยากรู้ว่า เขาใช้ชีวิตกันยังไง เอกเริ่มกังวลน้อยลงว่า ตัวเองจะเสียหรือได้อะไร


4. ขั้น “ยอมรับได้” หรือ Identity Acceptance เอาล่ะ หลังจากเกิดปฏิสัมพันธ์กับใครบางคนแล้ว เอกเริ่มรู้สึกตัวว่า การเป็นเกย์ไม่ได้เสียหายอะไร เขาเปิดและขยายโลกทัศน์ของตัวเองมากยิ่งขึ้น เริ่มเบาใจ กังวลใจน้อยลง เพราะได้เห็นเกย์คนอื่นๆ ที่ดูก้อ “ปกติ” ดีนี่นา เขาออกไปเที่ยวบ่อยขึ้น ไปเจอคนที่เป็นเกย์มากขึ้น โจทย์ใหญ่ของเขาตอนนี้ก็คือ เขาจะเอา “โลกเดิม” ในหน้ากากของการเป็นชายรักหญิง มาผนวกกับ ”โลกใหม่” ที่น่าตื่นเต้นของเขาได้ยังไง? เอกเริ่มเปิดเผยความลับกับเพื่อนสนิท และในที่สุดกับเพื่อนบางคนที่ทำงาน แต่กับที่บ้านเรอะ? คงยากส์ หรือไม่มีทางเกิดขึ้นแน่ๆ เกย์หลายคนวนเวียนอยู่ในขั้นนี้ และพอใจที่จะหยุดอยู่แค่จุดนี้ เกย์เอเชียรวมทั้งไทย อยู่ขึ้นนี้กันเยอะ


5. ขั้นยืดอก (Identity Pride) ถ้าเอก เริ่มขยายกลุ่มเพื่อนของเขาออกไปเรื่อยๆ เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับตัวตนไปเรื่อยๆ เริ่มคิดว่า อะไรคือสิทธิ์ และอะไรคือเสียสิทธิ์? เขาจะเริ่มเกิดความรู้สึกเหมือนถูกกระทำ อยากจะต่อสู้ปกป้องตัวเอง ตอนนี้แหละ เขาไม่สนแล้วล่ะว่า โลกใบเดิมที่มีเพื่อนเป็นชายหญิงทั่วไปจะคิดยังไง เขาแคร์อย่างเดียวว่าโลกใหม่ของเขาหรือโลกของเกย์ของเขาจะคิดยังไง คนทั่วไปเลยคิดว่า เกย์ช่างหงุดหงิดกับเรื่องสิทธิ์ และชอบเรียกร้องอะไรนักหนา ก็เพราะเขารู้สึกอย่างเอก นี่แหละ


6. ขั้นอยู่ตัวแล้ว (Identity Synthesis) การค้นหาคำตอบของเอกยังคงดำเนินต่อไป แต่เขาก็ “เติบโต” ทางความคิดมากขึ้น เขารู้สึกว่า เขาไม่จำเป็นต้องแบ่งโลกออกเป็น โลกเกย์ และโลกไม่เกย์ แล้วต้องคอยเลือกว่าจะบริหารจัดการโลกทั้งสองอย่างไร หรือทำอย่างไรให้โลกทั้งสองอยู่ด้วยกันได้อย่างสงบสุข ภายในตัวของเขา เขาไม่แบ่งแยกอีกต่อไป ทุกอณูของชีวิตเขากลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวอย่างลงตัว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ความเป็นเกย์ หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างในตัวเขา ต้องบอกว่า มันก็แค่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขาที่เขารับมันไว้อย่างเต็มความสุข…เท่านั้นเอง มีคนเรียกว่า เข้าขั้นเทพ…โอ้ว


ต่อไปนี้เวลาคุณคุยกะใคร ลองทบทวนดูว่า เขาอยู่ขั้นไหนกัน คงต้องสื่อสารกันคนละแบบ ที่คุณพบเจอ แล้วปรากฏว่า คุยอะไรก็ไม่รู้เรื่อง เพราะรู้สึกอีกฝ่ายปกปิด ซ่อนเร้น อำพราง ก็เพราะงี้แหละ เข้าใจกันนะ

ผมไม่ได้ชอบเขา ผมชอบเงินของเขา


ชายหนุ่มคิ้วเข้ม ผิวขาว วัย 24 กำลังมองมาที่ผม ผมกำลังมองดูใบหน้าที่มีเคราเขียวๆ ขึ้นบางๆ และดวงตาคมๆ คู่นั้น เหมือนเขากำลังจะบอกว่า “มีอะไร จะถามอะไรอีกมั๊ยเพ่?”

ผมนั่งเงียบไปพักหนึ่งแล้ว ซึ่งปกติไม่ค่อยจะเกิดขึ้นหรอก เวลาที่ผมอยากจะรู้อะไร ก้อกำลังตกอยู่ในภวังค์ล่ะครับ ไม่ใช่เพราะใบหน้าของเขา แต่เพราะสิ่งที่เขาเล่าเมื่อครู่ตะหาก ผมวาดภาพ…ตามแทบไม่ทัน

“แน็ค” เป็นชื่อเล่น ที่เขาตั้งขึ้นมาแบบกะทันหัน เขาบอก “พี่อย่ารู้ชื่อผมเลย ผมตั้งชื่อเล่นไปเรื่อยๆ จะได้จำได้ว่า ผมเจอคนๆ นั้นเมื่อไหร่ ในช่วงเวลาไหนของชีวิตผม”

ฮั่นแน่ มีลีลาวาจาพริ้ว…เราพบกันโดยบังเอิญล่ะครับ ขณะที่ผมกำลังอยากได้นักแสดงหล่อๆ สักคนมารับบทแรงๆ ผมคิดว่า เขาน่าจะเหมาะ จากรูปที่เขาส่งมา พร้อมส่วนสัด เขาเป็นนายแบบได้สบายๆ ยกเว้นแค่ความสูงกับน้ำหนักเท่านั้น เขาดูผอมไปนิด แต่ถ้าเขาเข้ายิม เล่นฟิตเนส ตัวหนากว่านี้หน่อย เขาคงขึ้น “ค่าตัว” ได้ไม่ยาก

ตอนกลางวัน เขามีอาชีพประจำที่ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า เขาทำ จากที่เขาบอก เขาจะใช้เวลานั้น “เรียนปริญญาโท” ไปด้วย เพื่อนผมคนหนึ่งก็เคยเล่าว่า “เด็กนวด” ที่เขาไปเจอมาหลายๆ คนก็บอกเหมือนกันว่า “กำลังเรียนป. โทอยู่”

ส่วนหลังเลิกงาน แน็คจะสวมอีกวิญญาณหนึ่ง เขามีวิญญาณที่เขาเลือกเอง และดูเหมือนเขาจะพอใจกับมันอย่างยิ่ง

สามวันที่แล้ว เขาเพิ่งไปพบลูกค้าของเขามา ช่วงเย็น ช่วงค่ำ และช่วงดึก “ไม่เหนื่อยเหรอ แล้วทำยังไงให้อึด?”

“คนแรก ผมก็ทำๆ ไปให้เขาเสร็จ ผมก็แกล้งว่า เสร็จแล้วเหมือนกัน คนที่สอง ผมก็ยังไม่เสร็จหรอก แค่ให้เขารู้สึกพอใจ ให้เขาเรียบร้อยไปซะ พอไปถึงคนที่สาม ผมก็ปล่อยออกมาจนหมดเกลี้ยง แล้วก็กลับบ้านนอน”“ค่าตัว” ของเขา ขึ้นอยู่กับระยะทางบวกค่าโทรศัพท์

“บางคนโทรคุยกันแล้ว ผมรู้สึกไม่ไว้ใจ ผมก็ไม่รับงาน แต่บางคนคุยดี แต่พอไปถึงที่ผมก็งงเลยเพราะพาเพื่อนมาอีกสามคน ให้ผมเอาให้ครบสี่ ถ้าผมเอาไม่ครบ เขาก็จะไม่จ่าย”

แน็คเล่าว่า เขาไม่รู้สึกลำบากใจอะไรเวลามีอะไรกับผู้ชาย

“ก็แค่ตกลงกันก่อน ผู้ชายแข็งแรงกว่า ไม่ต้องระวังมาก เพียงแต่ ผมไม่ยอมให้เสียบผมหรอกนะ ส่วนผู้หญิง ก็ต้องเอาใจเยอะหน่อย ใช้เวลามากหน่อย ผมว่า ผมเอากับผู้หญิงเหนื่อยกว่า”

ตอนอายุ 22 เขาทำเพื่อนผู้หญิงท้องไปคน เขาบอกว่า ไม่ได้ตั้งใจ ส่วนผู้หญิงคนนั้นก็บอกว่า ไม่ได้ตั้งใจเหมือนกัน แต่ตอนนี้เขาไม่ได้เป็นพ่อคน “พอดี เค้าไปเจอคนใหม่ ไปอยู่กับคนใหม่ ทั้งๆ ที่รู้ว่าท้องกับผม เด็กคนนั้นน่ะ ลูกผม”

เขาเล่าว่า ชีวิตวัยเด็กของเขาไม่น่าจดจำเท่าไหร่ ถ้าเขามีเงินมากๆ เขาก็จะทำอะไรก็ได้ “ตอนกลางวัน ผมก็ทำงานของผมไป ตอนกลางคืน ผมก็ขายตัว ผมรู้ตัวผม ผมไม่ไปอยู่บาร์นวด บาร์อะโกโก้หรอกครับ โดนหักเปอร์เซ็นต์ ผมทำงานอิสระของผมดีกว่า

เวลาผมไปบริการลูกค้า ผมต้องให้เขาพอใจ ถ้าเจอคนที่ไม่ถูกใจ ก็ทำไป ก็ทั้งนั้นแหละ คนหน้าตาดีๆ ใครจะมาใช้เงินซื้อ ผมเจอแต่ละคน ก็อยากไม่เหมือนกันหรอก ถ้าผมคุยดู ลูกค้าเป็นประเภทเงียบๆ ผมก็จะไม่พูดมาก ถ้าลูกค้าดูเหมือนจะชอบคนเถื่อนๆ ผมก็จะเถื่อนๆ ให้”
แล้วเคยเจอลูกค้าดีๆ ประเภทว่าประทับใจมั่งมั๊ย?

“ผมบริการเต็มที่ทุกคนแหละครับ เพราะเขาเป็นผู้มีพระคุณ ผมไม่ได้ชอบพวกเขา ใครอยากจะมาผูกพันกันกับผม? ผมแค่ชอบเงินของเขา” แน็คภูมิใจ แต่ในอีกมุมหนึ่ง ดูเหมือน เขาสะใจ

บรรดาลูกค้าของแน็คที่ผ่านมา มีสารพัดแบบ ไม่ว่าจะเป็น สามีที่อยากเอาใจภรรยา หรือเพราะเธอมีความต้องการมาก จนสามีไม่ไหว เขาบอก เขาก็ไม่แน่ใจนักว่าทำไม “คนนั้นเค้าก็ขับรถเอาเมียมาทิ้งไว้ที่ผม แล้วให้ผมทำให้ เขาก็ไปทำธุระ แล้วก็มารับเมียเค้ากลับ บางคนก็ให้ผมทำๆ ไป แล้วเขาก็นั่งดู”

แล้วลูกค้าที่เป็นผู้หญิงล่ะ ที่ติดต่อมาเอง ไม่ใช่สามีมาติดต่อให้ มีมั๊ย ผู้หญิงก็มีความต้องการเหมือนกันนี่?

“ทำไมจะไม่มีล่ะครับ ผมเคยไปบริการบ้านหนึ่ง เป็นสองแม่ลูก ลูกสาวนะ ไม่ใช่ลูกชาย แม่ให้ผมเอาลูกสาวก่อน แล้วค่อยมาเอาแม่ เขาบอกว่า อยากให้ลูกสาวทำเป็นเรื่องบนเตียง”

“เออ…แปลกดี!” ผมอุทาน พร้อมทำหน้าไม่เชื่อสิ่งที่เขาเพิ่งเล่า

“อย่างพี่ก็คงมองว่า แปลกดิ!” เขาสวนขึ้นมาทันควันด้วยน้ำเสียงแข็งๆ อารมณ์กรุ้มกริ่มขี้เล่นเมื่อครู่หายไปในทันที

“มันไม่แปลกหรอก พี่ไม่ใช่พวกเขา พี่ไม่ได้เป็นตัวเขา พี่ไม่ได้รู้สึกเหมือนเขา พี่จะก็คิดว่า คนอื่นแปลก”
และในบรรดาลูกค้าที่เขาไปให้บริการ ก็มี “คนในผ้าเหลือง” อีกต่างหาก

คุณผู้อ่านครับ ผมรู้สึกลังเลที่จะถามต่อ เพราะถ้าผมถามต่อ ผมคงต้องเขียน และสิ่งที่ผมเขียนต่อไปนี้ คุณผู้อ่านโปรดมีใจยุติธรรม ไม่ใช่พระที่เป็นเกย์ทุกคน มาบวชเรียนแล้วจะทำตัวอย่างที่จะกำลังจะเล่านะครับ

“ตอนคุยกัน ผมก็รู้ว่า เขาเป็นพระ วัดดังซะด้วย เขาไม่ปิด พระเนี่ย จะไม่โพสต์ข้อความหาคนหรอก แต่จะขอแอด MSN แรกๆ ผมก็ลังเล แต่ผมอยากได้ตังค์ ผมอยากจะรู้ว่าเป็นยังไง ผมก็ไป ตอนดึกๆ ผมเล่าไป พี่คงไม่เชื่อ ไม่ใช่พระเล็กๆ นะครับ ระดับเจ้าอาวาส
” แล้วเรามีไรกะพระในผ้าเหลือง?

“ผมก็บอกว่า ถอดผ้าเหลืองออกดีกว่า เขาบอกว่าไงรู้มั๊ย…ไม่ต้องถอดหรอก อยากถลกขึ้นมา แล้วโดนเอา จะได้เหมือนโดนข่มขืน แล้วเขาก็ถลกขึ้นมา เอามาพันๆ รอบคอ รอบๆ ไหล่ แล้วให้ผมเอา”
ผมกลืนน้ำลายหนึ่งอึก ก่อนเขาจะเล่าต่อ

“พอเสร็จกิจ ก็เอาผ้าเหลืองนั่นแหละเช็ด! แล้วก็ลุกขึ้นไปเปิดตู้ แล้วหยิบซองกฐินออกมา แล้วยื่นเงินมาให้ผม”

ผมกลืนน้ำลายอีกหนึ่งอึก “แล้วมีพระเยอะมั๊ย ที่เรียกใช้บริการเราน่ะ”

“ก็มีล่ะครับ ผมจะเจอส่วนใหญ่ เป็นพระที่บวชมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วไม่ยอมสึก พี่รู้เปล่า เขาเล่าให้ผมฟัง พระบางรูปน่ะ พอเจอก๊วนเดียวกัน เพิ่งไปสวดทำบุญบ้านชาวบ้านมา พอได้ขึ้นรถตู้ ก็กรี๊ดใส่กันในรถ”
ผมล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าวัดไหน แต่เขาไม่ยอมบอก

แน็คดูดน้ำจนหมดแก้ว เขาคงคอแห้งมาก เขาเทน้ำอัดลมไปอีกหนึ่งขวด แล้วเปิดกระเป๋า หยิบซองยาขึ้นมา
“เป็นอะไรน่ะครับ”

“หนองใน”

เขาบอกว่า เขาเป็นๆ หายๆ แต่ไม่ได้ร้ายแรงหรือกังวล “พี่คงคิดว่า ผมไม่รักษาตัวล่ะสิ บางที ลูกค้าบางคนก็รุนแรง มันเลยอักเสบ เดี๋ยวผมกินยา ก็คงหาย”

ก่อนอาหารมื้อเย็นนั่นจบลง ผมถามเขาว่า เขาจะประกอบอาชีพขายตัวแบบนี้ไปอีกนานมั๊ย?

“ผมไม่คิดอะไรมากหรอก มันก็เหมือนคนบ้าแฟชั่นน่ะครับ ตอนนี้ผมชอบสิ่งที่ผมทำอยู่ มันเหมือนแฟชั่นละมั้ง เดี๋ยวมันคงเลิกไปเอง ผมรู้ ผมอายุมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ตอนนี้ ผมอยากได้ตังค์เยอะๆ ผมไม่อยากลำบาก ไม่อยากยืมเงินใคร เวลาใครเอาเงินไปเที่ยวกลางคืน ชวนผมไปด้วย ผมไม่ไปหรอก ผมหวงเงินของผม”
ในหัวผมพยายามประมวลสิ่งที่เขาเพิ่งเล่าจบ แต่เขาก็พูดขึ้นมาว่า

“ผมรู้น่ะ ผมคงไม่ได้เล่นหนังของพี่หรอก ใช่มั๊ย?”

‘รุก’ เมิน ‘รับ’ หันมา “กินกันเอง”


“รุก” กับ “รับ” น่าจะเป็นของคู่กันตามวิถีของความสัมพันธ์ในหมู่ชายรักชาย แต่ในความเป็นจริง หาเป็นเช่นนั้นไม่ ผมเองก็คิดว่า คงไม่ได้เป็นเทรนด์อะไรใหม่หรอกที่หนุ่มรุกจะเมินหนุ่มรับ แล้วหันมากินกันเอง


สิ่งที่น่าสนใจก็คือ หนุ่ม “รุก” กำลังคิดอะไรอยู่? พวกเขามีเงื่อนไขอะไรในการปฏิเสธหนุ่ม “รับ” อย่างไม่มีเยื่อใย?


ในยุคสมัยหนึ่ง คุณผู้อ่านคงได้ยินคำว่า “เกย์คิง” กับ “เกย์ควีน” อยู่บ่อยๆ มันใช้บ่งบอกตัวตน ความพึงพอใจและมีไว้ใช้สำหรับสื่อสารกันบนเตียงว่า ใครจะรับเล่นบทไหน เป็นฝ่ายกระทำ หรือเป็นฝ่ายรับการกระทำ
บางคนมีความเป็น “คิง” ตายตัว คือรับบทบาทผู้ชาย เป็นผู้ปกป้อง และเป็นผู้นำ ไม่วอกแวกแอบแตกสาว ส่วนบางคนก็ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนความเป็น “ควีน” ในตัวเขา สาวแตกได้ยามเผลอ และพวกเขาก็พากันยึดเอาตัวตนนี้มากำหนดบทบาทเชิงความสัมพันธ์ในเรื่องอื่นๆ นอกเหนือจากเรื่องในห้องนอน ไม่ว่าจะเป็นการออกเดท การไปเที่ยวกัน หรือการตัดสินใจ เหล่าควีนที่ภูมิใจความเป็นควีนของตนจะนิยมการปกป้อง ห่วงใย เอาใจใส่จากหนุ่มคิง มันเป็นธรรมชาติของพวกเขา


ในทิศทางนี้ บทบาทของ “เกย์ควีน” ในความสัมพันธ์ของคนสองคน จึงไม่ต่างอะไรนักกับบทบาทของผู้หญิงที่มีความสัมพันธ์กับผู้ชาย ผมคิดว่างั้น แล้วคุณผู้อ่านที่เป็นชายหญิงทั่วไปเคยนึกสงสัยมั๊ยครับว่า แล้วทำไมเกย์ ไม่ “เอา” ผู้หญิงซะเลยล่ะ ในเมื่อ เกย์ควีน ก็ “ทำตัว” ไม่ต่างอะไรกับผู้หญิงคนหนึ่ง?
ในยุคสมัยใหม่ การกำหนดบทบาท คิง-ควีน อย่างชัดเจนตายตัวเริ่มกลายเป็นภาพเบลอๆ การ “cross-over” หรือเปลี่ยนแปลงสถานะกำลังกลายเป็นสิ่งที่สร้างความงุนงง แม้จะสับสน แต่บางคนก็กำลังตั้งคำถามวงในว่า สิ่งเหล่านี้จะเรียกว่า “พัฒนาการ” ได้หรือเปล่า?


คุณผู้อ่านคงได้ยินคำว่า “เกย์ควิง” ใช่มั๊ย? ซึ่งเอาเข้าจริงแล้ว ในหมู่เกย์ ไม่ค่อยใช้คำนี้กันหรอก คนที่มีบทบาทเป็น “เกย์ควิง” หมายถึงฉันจะรุก หรือสอดใส่ หรือจะเป็นฝ่ายรับก็ได้ แล้วแต่ฉัน และฉันก็ไม่จำเป็นต้อง “ออกสาว” หรือต้องทำตัว “แมนจ๋า”


แต่ดูเหมือนคำๆ นี้ จะถูกจำกัดในเรื่องความสัมพันธ์บนเตียงเท่านั้น ครั้นพอลุกออกจากเตียง คงไม่มีใครจะมาเรียกตัวเองว่า ฉันเป็น “เกย์ควิง”


แต่เกย์ไทยช่างเก่งกาจนะครับ สามารถประดิษฐ์คำใหม่มาใช้อย่างหรู นั่นคือ คำว่า “โบ้ท” (Both) น่าจะไม่มีใครในโลกนี้ใช้มาก่อน มันหมายถึง ฉันทำได้ทั้งสองแบบ คือจะให้ฉันรุก หรือให้ฉันรับก็ยินดี แต่ไม่ได้หมายถึง ฉันต้องออกสาว หรือต้องแมนจ๋านะ คำว่า คิง และควีน สำหรับเกย์วัยรุ่นยุคนี้ จึงไม่ค่อยได้ยินกันเท่าไหร่
ถ้าคุณสังเกตดีๆ เกย์โบ้ท “แท้ๆ” จะมีส่วนผสมของสองบุคลิกอย่างกลมกลืน มีซับเซ็ทของโบ้ทด้วยนะครับ
คำว่า โบ้ท ในบางกรณี จึงกลายเป็นคำที่ใช้เป็นทางออกและข้ออ้างให้กับเกย์บางคนที่ยังไม่รู้สึกภาคภูมิใน “ความเป็นรับ” ของตัวเอง และคิดว่า คำนี้จะไม่ค่อยสร้างความหงุดหงิดเท่าไหร่ และดู “มีค่า” เหนือชั้นกว่าจะบอกใครๆ ไปโต้งๆ ว่า ฉันน่ะชอบรับ


มาระยะหลังๆ เราจึงมีคำเพิ่มขึ้นอีก คือคำว่า “โบ้ทรับ” และ “โบ้ทรุก” นั่นถือว่า เป็นพัฒนาการหรือเปล่า? ซึ่งจากการสอบถามความเห็นในวงกว้าง หมายถึง ฉันเป็นรุก หรือรับก็ได้ หากฉันพอใจ แต่ฉันถนัดด้านใดด้านหนึ่งมากกว่า หรือในอีกแง่หนึ่ง คนที่ใช้คำๆนี้ ต้องถือว่า เปิดโอกาสให้กับตัวเองเพื่อที่จะได้เจอคนถูกใจได้มากขึ้น ซะงั้น?


ประสบการณ์สองหนุ่มรุก


“บดินทร์” เป็นหนุ่มรุกคนหนึ่งที่นิยมมีอะไรกับรุกด้วยกัน และไม่ค่อยสนใจ “กิน” หนุ่มรับ เท่าใด ด้วยความสัตย์จริง


“ไม่รู้สิครับพี่ ไม่ชอบคนเป็นรับ เจอทีไร ก็มีแต่ ‘สาวๆ’ คนเป็นรับที่เป็นแมนๆ หายไปไหนหมด?”
เขาเล่าว่า จากประสบการณ์ของเขา หนุ่มรับมักจะนิยมทำตัวไม่ต่างอะไรกับผู้หญิง และเวลาที่เขาเจอใครที่มาดแมน แต่พอถึงบนเตียง มีอากัปกิริยาไม่ต่างอะไรกับสาวน้อยคนหนึ่ง เขาก็จะหมดอารมณ์ในทันที เขาเลยตัดสินใจ “คบแต่หนุ่มรุก”


คุณผู้อ่านที่เคยอ่านบอร์ดประกาศหาคู่ หาแฟน หาคนมาเล่นเสียวทั้งหลาย คงเคยพบประกาศทำนองว่า “รุกคุยกับรุก” “รุกหาเพื่อน” ในความเป็นจริง หลายๆ คนไม่ได้สนใจจะหาเพื่อนจริงๆ หรือจะหาเอาแต่คุยหรอก แต่กำลังหาคนเป็นรุก ที่ “ใจตรงกัน”


ผมถามบดินทร์ต่อไปว่า แล้วเวลามีอะไรกับรุกด้วยกัน มันไม่น่าเบื่อเหรอ เพราะทั้งสองฝ่ายคงไม่มีใครยอมให้ใคร “บุก” แน่นอน และในเมื่อเป็นรุกด้วยกัน สุดท้ายก็ต้องใช้วิธี “โลกสวยด้วยมือเรา”
“ผมไม่คิดอะไรมากหรอก ถ้าผมเจอรุกที่ถูกใจ เล้าโล้ม หยอกล้อ จูบกัน ปล้ำกัน กอดกัน ผมก็พอใจแล้ว ผมไม่คิดว่า การมีอะไรกันทางประตูหลังคือคำตอบของการมีเซ็กซ์ ถ้าเป็นเพื่อนกินข้าว ดูหนัง แล้วคุยถูกคอกัน ไม่ออกสาว ผมว่าเพียงพอแล้วครับ”


“วิชา” เป็นหนุ่มรุกอีกคน ที่เมินหนุ่มรับมานาน เขาจะ “MSN” คุยกับหนุ่มรุกด้วยกันเท่านั้น หากรับคนไหนแอดเข้ามา เขาจะไม่สน เหตุผลของเขาก็คล้ายๆ กับบดินทร์


“ผมชอบเอารุก มันดีตรงที่เขาจะไม่สาวไง”


ในบรรดากิ๊ก “สี่คน” ของเขา (น่าจะเรียกว่า sex buddy มากกว่า) ทุกคนเป็นรุกหมด และทุกคนก็พึงพอใจที่จะมีอะไรกับเขา และหากวิชา อยากจะ “รุก” ประตูหลัง เขาเล่า “ทุกคนก็โดนผมเอานะครับ”


“แล้วพี่จะให้ผมเอาหรือเปล่า”


ผมรีบตัดบทไปถามเขาเรื่องอื่นแทน แต่ไม่วาย สังเกตจากหน้าตาและรูปร่างแล้ว ผมค่อนข้างจะเชื่อว่า ใครที่กำลังมีอะไรกับเขา คงต้องใจอ่อนแน่ๆ และในที่สุด คงยินยอมให้ “โดนเอา” แม้จะเป็นรุกด้วยกันก็ตาม
สุดท้ายแล้ว ความสัมพันธ์ของหนุ่มรุกกับหนุ่มรุกจะพัฒนาไปได้แค่ไหน เป็นแค่ “กิ๊ก” หรือเป็นแค่ “sex buddy” หรือจะได้แต่…ยามเหงาเรามาเอากันจะมีหนุ่มรุกสองคนเป็นแฟนกันอย่างมีความสุขมั๊ย ถ้าไม่มีใครในนั้นยอมเป็นฝ่ายรับเลย ? และถ้าเป็นเช่นนั้น เราจะมีคำว่า รุกกับรับ คิงกับควีน ไปทำไม?

วันส้มหล่น




เช้าวันหยุดอย่างนี้ “สิทธา” ตั้งใจไว้เป็นพิเศษว่าต้องทำให้สำเร็จ เขาไม่มีเซ็กซ์มาเกือบเดือนแล้ว และนี่เป็นวันหยุดในรอบกี่ปีของเขาก็ไม่รู้ที่เขาจะได้หยุดจริงๆ และมีเวลาทำอะไรเพื่อตัวของตัวเอง


เขายอมรับว่า เขาไม่ได้เป็นคน “ผื่นขึ้น” บ่อยๆ แต่เวลามันขึ้นที เขาก็ “คัน” เหมือนตกดงหมามุ่ย แต่เขาก็เป็นคนช่างเลือกนะ และนี่กระมัง คงเป็นเหตุผลที่เขาไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน
พอแล้วล่ะ สำหรับคำแก้ตัว แล้วผมก็บอกให้เขา รีบๆ เล่า เข้าเรื่องเสียที


วันนั้น เขาแชทไปประมาณ 7-8 คน ไม่น่าเชื่อว่า เวลาเก้าโมงเช้า จะมีคนแวะมาคุยเยอะแยะขนาดนี้ แต่ที่เขาทึ่งเสมอก็คือ ประเทศไทย มีเกย์เยอะมากๆ ผมไม่รู้ว่า เขาพูดประโยคนี้ด้วยวัตถุประสงค์อะไร แต่เราก็ได้ยินคำพูดแบบนี้บ่อยๆ พอๆ กับที่ว่า สมัยนี้ ทำไมเกย์เยอะจัง (เยอะแล้วทำไม?)


น่าเสียดายนะครับ คุณผู้อ่าน ประเทศไทย ก็มีคนที่ยังไม่เลิกแอบน่ะ เยอะเหมือนกัน


หลังจากเวลาผ่านไปสามชั่วโมง เขาเริ่มเบื่อหน่ายกับคนที่แวะเวียนมา แล้วก็บล็อกเขาไป หรือไม่เขาก็เป็นคนบล็อกเสียเอง แต่มีคนหนึ่ง ที่ยังไม่ยอมบล็อกเขา ทั้งๆ ที่เขาก็อยากจะบล็อกเต็มทน
“ก็รูปที่ส่งมามันมัวน่ะครับ กล้องก็ไม่มี แล้วผมจะรู้ได้ไงว่า เขาหน้าตาโดนหรือเปล่า? แต่ก็คุยโออยู่นะ” เขาเล่า
พี่ว่างถึงกี่โมง ให้ผมแวะไปหามั๊ย อยู่ใกล้ๆ กันนิดเดียว เดี๋ยวผมนั่งรถไปเลย อีกฝ่ายเร่งเร้าเขา สิทธามองดูนาฬิกา พร้อมใจที่หวั่นๆ


ถ้าน้อง “หน้าตามองไม่เห็นชัด” แวะมาหาเขาที่บ้าน แล้วหน้าตาไม่โอเลย เขาจะทำยังไง ไล่น้องกลับบ้าน? ชวนคุยพอเป็นพิธี แล้วขอตัวไปทำธุระ? หรือกระโดดขึ้นเตียง หลับตา ไม่ต้องเลือกมาก?
“ถึงผมจะหื่น แต่ผมก็มีสติอยู่นี่ครับ” สิทธาบอก แล้วสรุปว่า เขาไม่เลือกข้อใดเลย เพราะว่า เขาติดธุระตอนบ่าย ถ้าใครแวะมาหา ก็น่าจะมีเวลาให้สักสองสามชั่วโมง ไม่ควรรีบ แต่เพราะลูกตื้อของน้องชายหน้าไม่ชัด เขาเลยใจอ่อน ให้เบอร์โทรไปในที่สุด พร้อมนัดแนะ พรุ่งนี้ค่อยเจอกัน ไปดูหนังกันแล้วกัน


“น้องชาย” log off ไปแล้ว เขามีนัดแล้วนะ มันน่าจะดีใจ แต่เขากลับไม่รู้สึกพอใจ?


ในเวลาไม่กี่อึดใจ “บดินทร์” ก็เขามาคุยกับเขา สิทธาแจ้งไปว่า เขายังไม่ได้ต้องการมีแฟน แต่ต้องการหาคนอยู่เป็นเพื่อน มีอะไรกันได้ ไว้ใจกัน ไปเดินกัน เที่ยวด้วยกัน เขายังไม่พร้อมจะมีแฟนตอนนี้แน่ๆ


“พี่ ผมคุยกับบดินทร์ สนุกมากๆ เขาไม่ว่าอะไรถ้าเรามีเซ็กซ์กันเฉยๆ แล้วไม่ผูกพัน สงสัย คงเป็นเพราะเขาอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม ส่วนน้องชายที่คุยก่อนหน้าน่ะ อายุ 21 เอง แล้วดูเหมือนจะเอาแต่ใจตัวเองน่ะครับ ตื้อเก่งจริงๆ อยากจะมาเจอให้ได้เดี๋ยวนั้น ผมก็เกร็งๆ น่ะครับ กลัวจะเจอคนแรงๆ”


คุยกับบดินทร์ไปได้อีกเพลินใหญ่ จนเขาก็ลืมไปว่า ได้นัดกับ “น้องชาย” ไปแล้ว มารู้ตัวอีกที ก็ตอนวางโทรศัพท์ แลกรูปกับบดินทร์ไปแล้วนั่นแหละ “ชิบ…เวรเอ๊ย ดันนัดเวลาเดียวกันด้วย ทำไปได้ไง…เรา”


เขารีบหมุนเบอร์ก่อนหน้าที่โทรมา แต่จนแล้วจนรอด เขาก็ติดต่อ “น้องชาย” ไม่ได้


“คือปกติ ผมจะไม่ชั่วขนาดนี้นะครับพี่ นัดซ้อนสองคน เวลาเดียวกัน ถ้าอีกคนรู้ เขาคงไม่อยากเจอผม คิดว่าผมเป็นนักล่าไร้จรรยาบรรณ” เขาพูดปนหัวเราะ


แล้วเขาก็คิดอะไรบางอย่างได้ ในเมื่อน้องชายติดต่อกลับไปไม่ได้ เขาก็น่าจะเลื่อนนัดบดินทร์ซะสิ แต่…เขารู้สึกชอบบดินทร์มากกว่า เพราะไม่ตื้อ และดูเหมือนจะตามใจเขาทุกอย่าง งั้น…คงต้องพูดความจริง เขาเล่า
หลังจากเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้บดินทร์ฟัง ดูเหมือนบดินทร์จะรับฟัง และไม่อยากจะเชื่อว่าบดินทร์จะบอกว่า
“ทำไมนายไม่นัดน้องคนนั้น มาเจอกันซะเลย แล้วบอกไปว่า เราเป็นกิ๊กนาย มาจากต่างจังหวัดแลยมาเยี่ยมล่ะ” ฟังดูเข้าท่า สิทธาเริ่มรู้สึกดีๆ กับบดินทร์ขึ้นไปอีกที่เข้าใจและช่วยเหลือเขา ทั้งๆ ที่ยังไม่เจอหน้ากัน
วันนัดมาถึง และเวลาสำคัญมาถึง


“น้องชาย” ยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว สิทธามองเห็นชายหนุ่มร่างสูง ผิวสองสี หน้าตาหมดจดเกลี้ยงเกลา และที่สำคัญ “ฟันของเขาสวยมากๆ” พอเห็นใกล้ๆ แค่เขายิ้ม สิทธารู้สึกอยากจะอุ้มเขากลับบ้านไปเลย แต่เดี๋ยวก่อนยังมี บดินทร์ อีก!…เสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้นยังไม่ทันจะนึกจบ บดินทร์ก็เดินมาในชุดเสื้อยืดสีขาวลายทางขนาดพอดีตัว เขาเป็นชายหนุ่มร่างสันทัด หน้าอกกำลังสวย เขายิ้มให้สิทธาทันที และสิ่งที่สิทธาอยากทำตอนนี้มากที่สุดก็คือ เอาหัวโขกเสาซะ


“แล้วจะทำไงดีล่ะตู หล่อทั้งสองคน!!!”


สิทธาบอกตัวเองว่า พูดความจริงเถอะ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด


“น้องครับ น้องว่าพี่ชายคนนั้น ที่ใส่เสื้อลายๆ ยืนอยู่ตรงนั้นน่ะ หล่อมั๊ย” น้องชายมองไป พยักหน้าหงึกๆ แล้วบอกว่า “ก็หล่อดีครับ” สิทธาบอกให้น้องยืนรอ แล้วไปถามคำถามเดียวกันกับบดินทร์ คำตอบที่ได้มาทำให้เขาเริ่มเบาใจ


“ผมรู้สึกโล่งอกที่สุดครับพี่ ถึงเขาสองคนจะไม่ได้ชอบกันมากมาย แต่เขาก็ชอบผม แล้วผมก็ชอบเขาทั้งสองคน”


คุณผู้อ่านอาจจะชอบใจ หรือจะหมั่นไส้สิทธา ซึ่งก็น่าจะเป็นเช่นนั้น วันนั้น เขาพาทั้งสองหนุ่มไปบ้าน และเป็นครั้งแรกของทั้งสามคนที่มีเซ็กซ์แบบ threesome สิทธานึกถึงแผ่นหนังโป๊ที่เขาเคยดู เขารู้สึกเหมือนคนๆ หนึ่งในนั้น


“สุดยอดครับพี่ ดูวุ่นวาย แขนขาพันกันไปหน่อย แต่ผมมีความสุขมากๆ”

อัน “Fag Hag” “สาว Y” แล… “ชะนี”

สามคำนี้ หมายถึงผู้หญิงที่มีอิทธิพลเกี่ยวข้องกับชีวิตเกย์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง พวกเธออาจจะเป็นคนๆ เดียวกัน แต่ใส่หมวกสลับไปสลับมาสามใบ แต่ละใบมีชื่อเรียกต่างกันตามชื่อตอนข้างต้น หรือพวกเธออาจจะมีบทบาทเฉพาะของตัว ไม่ซ้ำซ้อน และไม่สับเซ็ท ให้วุ่นวาย

แต่จะยังไงก็ตาม อย่าเพิ่งสับสนนะครับ มาลองฟังความรู้สึกของพวกเธอเลย

นางสาว “Fag Hag” (อ่านว่า แฟ็ค แฮ็ค) ชื่อของดิฉัน เป็นแสลงอเมริกัน คำว่า Fag (Faggot) เป็นคำด่าเกย์ ประมาณว่า ไอ้ตุ๊ด หรืออีตุ๊ด ให้เกย์ “ใจเสาะ” เจ็บช้ำน้ำใจเล่นนั่นแหละส่วนคำว่า Hag หมายถึง หญิงแก่น่าเกลียด หรือนังแม่มดใจร้าย ประมาณนั้น เมื่อนำมารวมกันแล้ว ฟังดูไม่ดีเลยใช่มั๊ย?

อย่าไปสนใจความหมายทำร้ายจิตใจตรงนั้น มันก็แค่คำพูด มาดูที่บทบาทและความสำคัญกันดีกว่า
คำว่า Fag Hag โดยทั่วไป หมายถึงหญิงสาวที่เป็นเพื่อนสนิท เพื่อนซี้ปึ้กกับหนุ่มเกย์ ไปไหนมาไหนด้วยกัน เฮไหน เฮนั่น เพื่อนชั้นจะไปบาร์เกย์? แน่นอน ชั้นไม่ยั่น สนุกจะตาย เต้นเข้าไปสิ ผู้ชายหล่อล่ำ ถอดเสื้อ เหงื่อกาฬงี้ท่วมเป็นทาง แถมยังมายืนตัวเปียกรายล้อมตัวชั้น รู้สึกดีๆ ยังไงก็ไม่รู้ อีกอย่าง แต่ละหนุ่มน่ะ เต้นกันมันส์ ๆ ทั้งนั้น

หาอย่างนี้ไม่ได้หรอกในผับบาร์ชายหญิงทั่วไป และคงเป็นเพราะตัวชั้นเองก็ออกจะเซ็งๆ ด้วย
ทำไมล่ะ ก็ในบาร์ชายหญิง เต้นไปเต้นมาโดนมือใครก็ไม่รู้มาโดนนม โดนก้น แต่เต้นอยู่กะเพื่อนเกย์ในบาร์เกย์ พวกเค้าทั้งปกป้อง คุ้มครอง เป็นห่วงเป็นใย ถามไถ่ตลอด เอาอกเอาใจสารพัด อีกอย่างที่หลายๆ คนอาจไม่รู้นะ ชั้นน่ะ จะเต้นท่า “แรด หรือกระซู่” ยังไง ก็ไม่โดนสายตาเพศผู้หรือเพศเมียด้วยกันเหยียดหยามแน่นอน!

ในมวลหมู่เพื่อนเกย์ของชั้น ชั้นจึงเป็นไข่แดงแรงฤทธิ์ ที่ไม่มีคิดจะเข้ามาเจาะ! สบายเนื้อสบายตัวไปอีกแบบ
คบกับเพื่อนเกย์หล่อๆ เท่ๆ เริดจะตาย ไปไหนมาไหน คนมองกันตรึม แต่..บางทีชั้นก็นึกนะว่า ตัวชั้นน่ะมัวมาทำอะไรอยู่พวกนี้ พวกเค้าไม่มีวันเลิกเป็นเกย์ แล้วขอชั้นแต่งงานแน่ๆ แต่ก็เอาเถอะ ชั้นรู้สึกว่า ชั้นมีเพื่อนดีๆ แสนวิเศษก็พอใจแล้ว คิดว่าได้เพื่อนดี ดีกว่ามีแฟนห่วย อยู่กับพวกเค้า เค้าไม่หลอกชั้นแน่ๆ สวยก็บอกว่าสวย เสล่อเค้าก็พูดออกมาตรงๆ พวกเค้าพูดตรง ก็เพราะอยากเห็นชั้นได้ดีไงล่ะ

แหล่งมองหา “Fag Hag”

คุณผู้อ่านก็ลองมองดู ตามร้านอาหาร ผับ บาร์ ร้านคาราโอเกะทั่วไป ที่ไหนมีหนุ่มหล่อๆ มาเป็นกลุ่ม แล้วมีหญิงนางหนึ่ง หรือสองนางปนอยู่ด้วย นั่นแหละ พวกเธอล่ะ แต่น่าเสียดายจังครับ คำนี้ยังไม่มีแปลไทย เลยไม่รู้จะเรียกพวกเธอด้วยภาษาไทยยังไง และอีกอย่าง ที่น่าสนใจก็คือ พวกเธอหลายๆ คนในประเทศไทย ก็ไม่เห็นมีใครเรียกตัวเองว่า Fag Hag แต่เราจะพบคนดังในหนัง ในละครที่เป็น Fag Hag ประจำ ก็อย่างเช่น “Grace” (รับบทโดย Debra Messing จาก ซิทคอมดังของสถานีเอ็นบีซี เรื่อง “Will & Grace”) ที่ผมชื่นชอบมากอีกคนก็คือ คุณ Tori Spelling ลูกสาวคนสวยของโปรดิวเซอร์ชื่อดัง ลองไปหาดูนะครับ คุณทอรี่ ในบทเพื่อนนักแสดงของพระเอกในหนัง “Trick” ฉากที่เธอแจ๋นไปซะทุกเรื่องน่ะ ทำเอาผมหลงรักเธอเต็มๆ

พบกับผู้หญิงอีกคน “สาว Y”

คำว่า “Y” นี้ไม่ได้มาจากคำว่า “ทำไม” แต่ชั้นเป็นสาวอิมพอร์ตมาจากญี่ปุ่น ตั้งแต่ช่วงปี 1970 โน่น “Yayoi” (อ่านยาวอิ สาวไทยบางคน ก็อ่าน ยาโยย บ้าง ยาโยอิ บ้างตามถนัด) หมายถึงความรักของผู้ชายที่มีให้ผู้ชายด้วยกัน คงเคยได้ยินการ์ตูนหรือนิยายแนว “บอยส์เลิฟ (Boy’s Love)” ใช่มั๊ย นั่นแหละ คืออาหารชั้นเยี่ยมที่สาว Y อย่างชั้นชอบ

คือพวกชั้นน่ะเทิดทูนบูชาความรัก ไม่ว่าจะเพศไหนน่ะ แต่บังเอิญมาติดใจความรักของผู้ชายกับผู้ชายน่ะสิ ติดหนึบ ติดแงมเลยล่ะ ทั้งๆ ที่ Yayoi หลายเรื่องจากญี่ปุ่น ก็พูดซ้ำๆ กันอยู่ได้ระหว่างความรัก ความสัมพันธ์ต่างวัย คุณจะสังเกตได้ ชายคนหนึ่งต้องอายุมากและมีอำนาจเหนือกว่าอีกคน ที่มักจะมาจากบ้านนอก ดูอ่อนแอ และแลดูเป็นผู้หญิงที่ต้องมีบทบาทตายตัว เปลี่ยนไม่ได้เด็ดขาด นั่นคือ “เป็นรับ”
เอาเถอะ ชั้นก็ชอบแบบของชั้น ใครจะว่าอะไรก็ว่าไป แต่ที่ไม่ชอบใจที่สุดก็คือ คุณตำรวจเมืองไทยนี่สิ ชอบกวาดล้างหนังสือแนวนี้ เหมารวมเอาว่า ทำให้เยาวชนเสื่อมเสีย เพราะลามกอนาจาร อนาจารตรงไหน? ผู้ชายจูบกัน มีความรักกัน น่ารักจะตาย

รู้มั๊ยล่ะว่า สาว Y อย่างชั้นน่ะ พบกับความยากลำบากเอามากๆ ถึงขนาดต้องเอาหนังสือแนวนี้ไปแอบซ่อนไว้ กลายเป็นคนต้องแอบ ก็กลัวพ่อแม่เห็น กลัวเค้าจะคิดว่า เราเป็นโรคจิตน่ะ มาชอบอะไรทำนองนี้ ซึ่งพ่อแม่ตามเรื่องพวกนี้ไม่ทัน ก็เข้าใจท่านนะ แต่ก็อยากให้ผู้ใหญ่เข้าใจด้วยเหมือนกันว่า ชั้นก็เป็นสาว Y อย่างนี้แหละ มันคือ งานอดิเรกที่ไม่มีพิษมีภัย อีกอย่าง สาว Y อย่างชั้น มักไม่ไปบาร์เกย์ หรือเป็นไข่แดงในหมู่เกย์หรอก เพราะฉะนั้น ชั้นกับ Fag Hag ไม่เหมือนกันก็ตรงนี้แหละ

แหล่งพบสาว Y:

คุณผู้อ่าน ลองมองตามร้านการ์ตูน และเว็บไซต์ สาว Y ในเมืองไทย เป็น community ที่ใหญ่มาก ลองเซิร์ชดู อ้อ ต้องบอกด้วยนิดหนึ่ง สาว Y ส่วนใหญ่ ไม่ได้คิดจะมีอะไรกับหนุ่มเกย์ เพียงแต่ชื่นชอบ ชื่นชม ที่หลายๆ คนกล้าหาญ กล้าที่จะยอมรับความจริงของตัวเอง และก็อยู่กับมันอย่างมีความสุข ต้องอย่างนี้สิ สาว Y จะได้มีอะไรให้รื่นรมย์ สมใจต่อไปอีกนาน

พบกับ “ชะนี”

คุณผู้หญิงหลายคนไม่ชอบโดนเรียกว่าชะนี หรือน้องนีหรอก เพราะจริงๆ ชั้นไม่คิดจะไปแย่งอะไรใคร แน่นอนคำนี้ ไม่มี่ทางหลุดปากมาจากผู้ชายทั่วไปได้หรอก เพราะโดนเกย์ และกะเทย เอาไปใช้ซะปรุไปหมด
ยิ่งเวลาต้องโปรยเสน่ห์ให้กับ target group แข่งกัน หญิงสาวที่ต้องการลงสนามแข่งด้วย จะโดนเกย์/ กะเทย เรียกว่า ชะนี ไปในทันที เพราะชะนีมีเสียงร้องว่า “ผัว ผัว ผัว” คนเรียกก็มักจะเป็น เกย์สาว หรือกะเทยซ้า คิดได้นะ ส่วน “ผัว” ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ที่เห็นๆ อยู่ตรงหน้า ก็จะดูมีราคาขึ้นไปในบัดดล เมื่อมีการชิงชัยจากหลายฝ่ายเกิดขึ้น

นักต่อสู้เรื่องสิทธิสตรี ไม่ค่อยชอบคำว่าชะนี และกำลังรณรงค์ ไม่ให้ใช้กัน ชั้นก็ไม่ค่อยชอบหรอก อยู่ๆ มาเรียกชั้นเป็นค่าง บ่าง ชะนี ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีพฤติกรรมหลอกล่อผู้ชายปานนั้น เอาเถอะ เร็วๆ นี้ ชั้นได้ยินมาคำนึง น่าจะมีมาพอสมควร และน่าจะช่วยลดทอนการดูถูกดูแคลนกันได้ ก้อพอผู้หญิงโดนเรียกว่า ชะนี หนุ่มเกย์ก็โดนเรียกเป็น “เก้ง” ในทันใด อุ๊ย เรามาตั้งกองทุนอนุรักษ์สัตว์กัน!

แหล่งพบ “ชะนี”

คุณผู้อ่านที่เป็นใครก็ได้ มันก็ในใจคุณๆ นั่นแหละ คุณเรียกใครว่า ชะนี หรือเปล่า แล้วคนเรียกเค้าชอบหรือเปล่า แต่จริงๆ ผู้หญิงคนนั้นในกลุ่มเพื่อนเกย์ บางคนก็จะเรียกตัวเองว่า ชะนี เพื่อความครึกครื้นกันในกลุ่ม เฮๆ ไป ได้อรรถรสในการพูดจา แต่อยู่ดีๆ คุณๆ อย่าไปเรียกพวกเธอว่าชะนี โดยไม่มีเหตุแวดล้อมล่ะ

ทีเกย์บางคนไม่อยากโดนเรียกว่า ตุ๊ด ก็เหมือนกับผู้หญิงบางคนน่ะ เค้า ไม่อยากโหนต้นไม้ แล้วกลายเป็นชะนี

อ้นรับทั้งน้ำตา คลิปนั้นผมจริง ๆ

Wednesday, October 15, 2008




หลังจากที่เป็นที่ฮือฮามากกรณีมีคลิปหลุดหน้าเหมือนของพระเอก อ.ชื่อดังกำลังเริงรักกับแฟนสาว ในอิริยาบถที่ดุเดือดเผ็ดร้อนก่อนหน้านี้ หนุ่มอ้น สราวุฒิตกเป็นผู้ต้องสงสัยรายแรก ๆ เนื่องจากมีใบหน้าที่คล้ายกับชายหนุ่มนิรนามในคลิปมากที่สุด


โดยหลังจากที่คลิปนี้ระบาดออกมาแล้ว เจ้าตัวยังคงปิดปากเงียบไม่ขอให้สัมภาษณ์ใด ๆ จนเมื่อเวลาประมาณ 14.00 น.วันนี้ (7 ต.ค.) หนุ่มอ้นสราวุฒิได้เดินทางมาแถลงข่าวที่สถานีโทรทัศน์ช่องสาม ย่านพระรามสี่แล้ว


ทั้งนี้หนุ่มอ้นปรากฏตัวพร้อมด้วยใบหน้าที่ความเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด และตลอดเวลาที่แถลงข่าวหนุ่มอ้นมีอาการเสียงสั่นเครือตลอดเวลา จนสุดท้ายเจ้าตัวไม่สามารถกลั้นน้ำตาแห่งความเสียใจไว้ได้ในที่สุด
ซึ่งหนุ่มอ้น ยอมรับว่าชายหนุ่มในคลิปวิดีโอดังกล่าวเป็นตัวเขาจริง ๆ ซึ่งเป็นการถ่ายกับหญิงสาวคนหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้ว โดยที่ทำไปนั้นเป็นการกระทำชั่ววูบที่เจ้าตัวไม่คิดว่าจะส่งผลกระทบมาจนถึงปัจจุบัน
นอกจากนี้หนุ่มอ้นยังกล่าวด้วยว่า ภาพต่าง ๆ รวมไปถึงคลิปต้นเหตุเขาเป็นคนถ่ายเองกับมือ และตั้งใจเก็บเอาไว้ดูเป็นการส่วนตัว แต่โชคร้ายโทรศัพท์เจ้ากรรมดันมาหายเสียก่อน ซึ่งหลังจากที่โทรศัพท์หายไปเจ้าตัวก็กังวลใจไม่น้อย เนื่องจากยังไม่ได้ลบคลิปหรือภาพส่วนตัวออกแต่อย่างใด


ส่วนหญิงสาวในคลิปวิดิโอดังกล่าวเจ้าตัวยืนยันไม่ใช่น้องนวลแฟนสาวแน่นอน แต่เป็นหญิงสาวคนหนึ่งที่รู้จักกันในอดีต เนื่องจากคลิปนี้ถ่ายเมื่อนานมากแล้ว และไม่ขอพูดถึงผู้หญิงในคลิปเนื่องจากไม่อยากพาดพิงถึงเขาให้เสียหายมากไปอีก โดยงานนี้หนุ่มอ้นยอมรับเต็มปากว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมานั้น "ผมผิดเอง" ก่อนจะเอ่ยปากขอโทษคนรอบข้าง สื่อมวลชน แฟนคลับ และประชาชนทุก ๆ คนที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นพร้อมกับก้มลงกราบพื้นพร้อมด้วยน้ำตานองใบหน้า


งานนี้ก็อุทาหรณ์หลาย ๆ คนได้ระมัดระวังตัวกันมากขึ้น ถึงพิษภัยของเทคโนโลยี ซึ่งคลิปดังกล่าวนั้นเจ้าตัวย้ำชัดว่าเป็นการถ่ายเพื่อเก็บไว้เป็นการส่วนตัว แต่เพราะความสะเพร่าที่ไม่ยอมลบทิ้งของตัวเอง เลยทำให้มีการหลุดออกมาสู่สายตาคนอื่นได้ขนาดนี้

คลิปหน้าเหมือน "อ้น สราวุธ" ปั๊มสาวไม่ใส่ถุงยาง





















ช็อกวงการ! คลิปหน้าเหมือน "อ้น สราวุธ" ปั๊มสาวสุดสยิวหลุดว่อนเน็ต ส่วนที่คลองถมก็วางขายเกลื่อน ด้านเจ้าตัวเตรียมแถลงข่าววันนี้บ่ายสอง (7/10/51)

กระแสคลิปอื้อฉาวของ "โฟร์โฟร์ ศกลรัตน์ วรอุไร" กับ "มด ชุติมณฑน์ ชัยรัตน์" นักร้องดูโอชื่อดังยังไม่ทันซา จู่ๆ ก็มีภาพคลิปหลุดหน้าเหมือน "อ้น สราวุธ มาตรทอง" พระเอกละครช่อง 3 หลุดว่อนอินเทอร์เน็ต


โดยคลิปดังกล่าวมีทั้งภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว ซึ่งภาพนิ่งนั้นเป็นการภาพถ่ายในลักษณะภาพนู้ดของหนุ่มหน้าเหมือนพระเอกชื่อดัง ขณะที่ภาพเคลื่อนไหวเป็นภาพหนุ่มคนเดียวกันกำลังร่วมเพศกับผู้หญิงอย่างถึงพริกถึงขิง โดยมีการสบถคำหยาบออกมาเป็นระยะๆ และมีความยาวจำนวน 2 นาทีด้วยกัน


ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าคลิปดังกล่าวเกิดขึ้นมาจากการถ่ายด้วยโทรศัพท์มือถือของฝ่ายชายเอง ซึ่งนอกจากจะมีการเผยแพร่ผ่านอินเทอร์เน็ตแล้ว ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ตลาดคลองถมก็มีคลิปที่ว่าโดยระบุชื่อของดารานักแสดงหนุ่มคนดังกล่าววางขายด้วยเช่นกัน


อย่างไรก็ตามหลังจากที่คลิปดังกล่าวได้แพร่หลายออกไป ทางด้านพระเอกหนุ่มก็เตรียมจัดแถลงข่าวเรื่องคลิปที่หน้าเหมือนตนในวันนี้(7ต.ค.)เวลา 14.00 น. ที่ช่อง 3

Blog Archive