เตือนชายรักชาย “ฉีดน้ำทำแท้งลำไส้” เสี่ยงเนื้อเยื่อฉีก-ติดเชื้ออักเสบ

Thursday, October 30, 2008





กรมควบคุมโรค เตือนเกย์ กะเทย ตุ๊ด ไม่ควรทำ “แท้งชาย” ฉีดน้ำรุนแรงเข้าบั้นท้ายทำความสะอาดอันตรายเสี่ยงติดเชื้อ อักเสบ ไม่อยากมีเซ็กซ์แถมทอง ให้กินอาหารมีกากใยมาก สะอาดอย่างเดียวไม่พอ ต้องปลอดภัย ต้องใช้ถุงยางและสารหล่อลื่นทุกครั้ง ขณะที่ผู้ติดเชื้อเอดส์กลุ่มชายรักชายมีแนวโน้มสูงขึ้น กรุงเทพฯ แชมป์ติดเชื้อมากสุด รองลงมาคือภูเก็ต เชียงใหม่ ตามลำดับ


วันที่ 30 ตุลาคม ที่โรงแรมเอเชีย แอร์พอร์ท นพ.มล.สมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดการประชุมสรุปบทเรียนการพัฒนาเครือข่ายคนทำงานเอดส์ในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย เพื่อส่งเสริมการป้องกันโรคเอดส์และเข้าถึงการดูแลรักษา ว่า วิธีการป้องกันการติดเชื้อเอดส์ที่ดีที่สุด คือ กลุ่มชายรักชายจะต้องตื่นตัวรู้จักดูแลสุขภาพของตนเอง มีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย ไม่รุนแรงจนเกินไปทำให้เกิดบาดแผล


นอกจากนี้ ควรใช้ถุงยางอนามัย และสารหล่อลื่นทุกครั้งหากมีเพศสัมพันธ์ อย่างไรก็ตาม วิธีการปฏิบัติที่กลุ่มชายรักชายนิยมล้างลำไส้ใหญ่ส่วนล่าง หรือเรียกว่า การทำแท้ง ก่อนมีเพศสัมพันธ์ โดยการฉีดน้ำอย่างรุนแรงเข้าไปในช่องทวารแล้วเบ่งออกมานั้น แม้ว่าจะทำเพื่อความสะอาดไม่ให้มีสิ่งปฏิกูลติดออกมา หรือที่เรียกว่า “แถมทอง” แต่ก็อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย เนื่องจากทำให้เนื้อเยื่อของลำไส้ใหญ่ฉีกขาด หรือบอบบางลง ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อหรืออาการอักเสบต่างๆ ดังนั้น เพื่อสุขภาพทางเพศที่ดี สะอาดอย่างเดียวไม่พอแต่ต้องปลอดภัยด้วย จึงไม่แนะนำให้ทำในลักษณะดังกล่าวนี้


นพ.มล.สมชาย กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ แม้ไทยจะประสบผลสำเร็จในการลดจำนวนผู้ติดเชื้อเอดส์รายใหม่ได้ โดยในช่วงปี พ.ศ.2547-2548 จากที่มีผู้ติดเชื้อเอดส์รายใหม่ถึงปีละ 140,000 ราย ปัจจุบันเหลือเพียงประมาณปีละ 17,000-18,000 ราย แต่จากการสำรวจสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวีในกลุ่มชายรักชายพบว่ามีแนวโน้มค่อนข้างสูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มชายขายบริการ หรือ สถานบริการเซาน่า


นพ.มล.สมชาย กล่าวต่อว่า ในปี พ.ศ.2546 ในเขตกรุงเทพมหานคร พบอัตราการติดเชื้อเอชไอวีในชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย ร้อยละ 17.3 และเพิ่มสูงขึ้นในปี 2548 เป็นร้อยละ 28.3 และ ในปี 2550 เป็นร้อยละ 30.7 สำหรับผลการสำรวจในจังหวัดใหญ่ที่มีความเจริญทางด้านเศรษฐกิจ และมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศจำนวนมาก เช่น จังหวัดเชียงใหม่ และ จังหวัดภูเก็ตพบอัตราการติดเชื้อเอชไอวีสูงขึ้นเช่นเดียวกัน


“ข้อมูลการสำรวจในจังหวัดเชียงใหม่ พบว่า ในปี 2548 พบอัตราการติดเชื้อเอชไอวี ร้อยละ 15.3 และปี 2550 สูงขึ้นเป็นร้อยละ 16.9 ส่วนข้อมูลการสำรวจของจังหวัดภูเก็ต พบอัตราการติดเชื้อเอชไอวี ในปี 2548 ร้อยละ 5.5 และปี 2550 สูงขึ้นเป็นร้อยละ 20 นอกจากนี้ ยังพบว่า กลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายมีอัตราการใช้ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์กับคู่ฉาบฉวย หรือคนรักต่ำกว่าร้อยละ 50” นพ.มล.สมชาย กล่าว

นายชนวีร์ สีชมภู ผู้ประสานงานโครงการ Safe sex project AIDS สำนักานสาธารณสุข จ.นครสวรรค์ กล่าวว่า วิธีการทำแท้งชายเป็นที่นิยมมากในกลุ่มชายรักชาย โดยเฉพาะกะเทย ซึ่งที่ผ่านมาตนได้ให้คำแนะนำ ว่า ไม่ควรทำเป็นประจำ หรือหากจำเป็นควรทำแท้งชายก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 1 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม วิธีการที่ดีที่สุด เมื่อรู้ตัวว่าจะมีเพศสัมพันธ์ถ้าไม่อยากให้มีทองติดมาด้วย ให้พยายามรีดสิ่งปฏิกูลออกมาให้หมดก่อน หรือไม่ก็อาจต้องทำใจ แต่ไม่ควรใช้น้ำฉีดเข้าไปแรงๆ เพราะปกติการมีเพศสัมพันธ์ของชายรักชายก็มีความรุนแรง เกิดการฉีกขาด หรือเกิดแผลได้ง่ายอยู่แล้ว หากพลาดถุงยางรั่วหรือแตก ขณะที่มีแผลก็เสี่ยงที่จะติดโรคทางเพศสัมพันธ์ หรือโรคเอดส์ได้



“ทั้งนี้ จากการลงพื้นที่ยังพบว่า วัยรุ่นกะเทยส่วนใหญ่มีความต้องการถุงยางอนามัยที่มีขนาดไซส์ใหญ่ 52 มม.ขณะที่ไซส์มาตรฐานอยู่ที่ 49 มม.โดยมักอ้างว่า ใส่ง่าย และไม่คับ บางคนบอกว่า ถุงยางอนามัยมีขนาดเล็ก ทำให้ไม่สามารถรูดถุงยางอนามัยให้ถึงโค่นอวัยวะเพศได้ ขณะที่ส่วนหนึ่งอาจเนื่องมาจากค่านิยมทางเพศ ที่อยากให้มีอวัยวะเพศขนาดใหญ่ ซึ่งได้แนะนำว่า ควรใช้ถุงยางให้มีขนาดที่พอดีกัน หากใช้ถุงยางผิดขนาดก็ มีโอกาสเสี่ยงติดโรคเช่นกัน” นายชนวีร์ กล่าว


ด้านพญ.พัชรา ศิริวงศ์รังสรร ผู้อำนวยการสำนักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ได้ให้ความรู้กลุ่มชายรักชายในการดูแลรักษาสุขภาพ โดยให้รับประทานอาหารที่มีกากใหญ่มาก จะทำให้การขับถ่ายสะดวกไม่เป็นโรคท้องผูก ไม่มีอุจจาระตกค้างอยู่ในลำไส้ อย่างไรก็ตาม คงไม่สามารถห้ามไม่ให้กลุ่มชายรักชายทำแท้ง แต่ให้ทำด้วยความระมัดระวังและอย่าทำบ่อยจนเกินไป


พญ.พัชรา กล่าวด้วยว่า สำหรับการพัฒนาเครือข่ายคนทำงานเอดส์ในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย เพื่อส่งเสริมการป้องกันเอดส์และเข้าถึงการดูแลรักษา ซึ่งได้รับงบประมาณสนับสนุนจากกองทุนโลกเพื่อการป้องกันเอดส์ วัณโรค และมาลาเรีย และงบประมาณจากภาครัฐ เริ่มดำเนินการในช่วงปี พ.ศ.2550-2551 ในการประชุมครั้งนี้เป็นกิจกรรมหนึ่งที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้บุคลากรของภาคีเครือข่ายที่ทำงานด้านโรคเอดส์ ในพื้นที่ดำเนินงานนำร่อง 8 จังหวัด ได้แก่ ปทุมธานี นครสวรรค์ ลำปาง อุบลราชธานี นครราชสีมา พัทลุง เชียงใหม่ และชลบุรี ได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากการทำงานเอดส์ในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย และร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาและหาแนวทางที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหา/อุปสรรคจากการทำงานเพื่อนำไปสู่การป้องการติดเชื้อเอดส์รายใหม่


ทั้งนี้ อนาคตมีเป้าหมายในการสร้างแกนนำขยายครอบคลุม 40 จังหวัดทั่วประเทศ โดยเลือกจากจังหวัดที่มีความเสี่ยง มีกลุ่มชายรักชายมาก และมีสถานศึกษาจำนวนมากก่อน

0 comments:

Blog Archive