พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทาน ส.ค.ส. ปีพุทธศักราช 2552 แก่ประชาชนชาวไทย

Wednesday, December 31, 2008


ส.ค.ส.พระราชทาน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในปีพุทธศักราช 2552 นี้ เป็นพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฉลองพระองค์สากลสีน้ำตาลอ่อน ผ้าปักพระกระเป๋าสีฟ้าสดใส ฉลองพระองค์ชั้นในเป็นเชิ้ตขาว ทรงผูกเนกไทสีฟ้าอ่อน ประทับบนพระเก้าอี้ ทรงฉายกับคุณทองแดง สุวรรณชาด ที่นั่งอยู่ข้างพระเก้าอี้ และคุณนายแดง แม่ของคุณทองแดง ที่หมอบเฝ้าอยู่อีกข้างหนึ่ง
ฉากหลังของ ส.ค.ส. เป็นสนามหญ้าในบริเวณพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน มีต้นไม้ใหญ่ และต้นชวนชมดอกสีชมพู
มุมบนด้านซ้าย มีตราสัญลักษณ์ 2 ตรา คือ ตราพระมหาพิชัยมงกุฎ และผอบทอง ระหว่างตราสัญลักษณ์ทั้งสอง มีตัวหนังสือพิมพ์ด้วยสีเหลืองว่า ส.ค.ส. ๒๕๕๒ ใต้ลงมามีข้อความภาษาอังกฤษ Happy New Year 2009
มุมบนด้านขวา มีข้อความเป็นตัวหนังสือพิมพ์ด้วยสีเหลืองว่า สวัสดีปีใหม่ ขอจงมี...ความสุข...ความเจริญ ด้านล่างขวา มีตัวเลขสีแดง ระบุวันเดือนปีที่ทรงฉายพระบรมฉายาลักษณ์ว่า 2008 12 17 / 17 : 11
กรอบของ ส.ค.ส.พระราชทานฉบับนี้ เป็นภาพหน้าคนเล็กๆ เรียงกันด้านละ 3 แถว ทุกหน้า มีแต่รอยยิ้ม
ในกรอบด้านล่าง มีข้อความ ก.ส. 9 ปรุง 192231 ธ.ค. 51 พิมพ์ที่โรงพิมพ์สุวรรณชาด ท.พรหมบุตร, ผู้พิมพ์โฆษณา Printed at the Suvarnnachad publishing , D Bramaputra, Publisher
ในระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพรปีใหม่และ ส.ค.ส.พระราชทาน ปี 2552 แก่ปวงชนชาวไทยนั้น คุณทองแดง สุวรรณชาด ได้หมอบเฝ้าอยู่แทบพระบาทหลังพระเก้าอี้ตลอดเวลา

“ในหลวง” พระราชทานพรปีใหม่ ทรงขอให้คนไทยมีสติทำให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพรปีใหม่ ทรงขอให้ประชาชนชาวไทยตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท จะคิด จะทำสิ่งใด ให้คิดหน้าคิดหลังให้ดี ให้รอบคอบ ทำให้ดี ให้ถูกต้อง ทำให้ชาติบ้านเมืองมีความเรียบร้อย และอยู่เย็นเป็นสุข พร้อมทรงขอบพระทัยประชาชนที่ร่วมกันจัดงานพระศพสมเด็จพระพี่นางฯ อย่างยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ

เมื่อเวลาประมาณ 20.00 น.วันที่ 31 ธันวาคม 2551 สถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ได้แพร่ภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัส พระราชทานพรปีใหม่ 2552 แก่พสกนิกรชาวไทย จากวังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ดังนี้
“ประชาชนชาวไทยทั้งหลาย บัดนี้ถึงวาระจะขึ้นปีใหม่ เป็นเวลาที่เราควรจะระลึกถึงกันและอวยพรแก่กันด้วยความปรารถนาดี ก่อนอื่นข้าพเจ้าต้องขอขอบใจทุกท่านเป็นอย่างมากที่ร่วมกันจัดงานพระศพพี่สาวข้าพเจ้าอย่างยิ่งใหญ่ สมพระเกียรติ ทั้งอุตสาหะมาร่วมในงานเมื่อเดือนพฤศจิกายน ด้วยใจภักดี และระลึกถึง กับขอส่งความปรารถนาดีมาอวยพรแก่ท่านทุกๆ คน ให้มีความสุขความเจริญ
ความสุขความเจริญนี้ คือสิ่งที่พึงปรารถนาอย่างยิ่งของคนเรา แต่ความสุขความเจริญนั้นจะสำเร็จผลเป็นจริงได้ ก็ด้วยการที่ทุกคนตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท มีสติ รู้ตัว และปฏิญญา รู้คิด กำกับอยู่ตลอดเวลา กล่าวคือ ไม่ว่าจะประพฤติปฏิบัติการใด ก็ใช้สติ ปัญญา พิจารณา ไตร่ตรองจนถ้วนถี่ ให้เห็นกระจ่างถึงผลดี ผลเสีย ทั้งใจ กาย ทุกแง่ทุกมุม
ความรู้ ความเข้าใจชัด ถึงผลดี ผลเสีย ย่อมจะทำให้แต่ละคนเล็งเห็นแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องว่าสิ่งใดควรละเว้น และสิ่งใดควรปฏิบัติ เพื่อให้บังเกิดผลเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง และยั่งยืน ทั้งแก่ส่วนตัวและส่วนรวม
ในปีใหม่นี้ จึงขอให้ประชาชนชาวไทยได้ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท จะคิด จะทำสิ่งใด ให้คิดหน้าคิดหลังให้ดี ให้รอบคอบ ทำให้ดี ให้ถูกต้อง ผลของการคิดดี ทำดีนั้น จะได้ส่งเสริมให้แต่ละคนประสบแต่ความสุข ความเจริญ และทำให้ชาติบ้านเมืองมีความเรียบร้อย และอยู่เย็นเป็นสุข ดังที่ทุกคน ทุกฝ่าย ตั้งใจปรารถนา
ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวไทยเราเคารพบูชา จงอภิบาลรักษาท่านทุกคน ให้ปราศจากทุกข์ ปราศจากโรค ปราศจากภัย ให้มีความสุขกาย สุขใจ และความสำเร็จ สมหวัง ตลอดศกหน้านี้โดยทั่วกัน”
ฟัง / Download เพลง เทศกาลปีใหม่
1 เพลง สวัสดีปีใหม่.mp3 3.76 MB.

2 เพลง ไชโยปีใหม่.mp3 5.31 MB.

3 เพลงรำวงปีใหม่.mp3 2.65 MB.

4 เพลงรื่นเริงเถลิงศก.mp3 7.31 MB.

ท่วงท่าที่ถึงจุดสุดยอด

Monday, December 22, 2008



Q : ผมอยากทราบว่ามีวิธีการร่วมเพศแบบไหนบ้างที่ทำให้ผู้หญิงไปถึงจุดสุดยอดได้ง่ายขึ้น เพราะแฟนของผมไม่ค่อยจะเสร็จพร้อมกับผมเลย บางทีเธอต้องใช้มือของเธอช่วยตัวเองต่อจนเสร็จ ทำให้ผมขาดความมั่นใจไปมากเลย



A : เขาว่ากันว่า ผู้หญิงนั้นเปรียบเสมือนเตาไฟฟ้าเวลาเปิดสวิตซ์ต้องใช้เวลานานกว่าจะร้อน แต่ขณะเดียวกันเมื่อเปิดสวิตซ์ก็ยังคงร้อนอยู่อีกระยะเวลาหนึ่งกว่าจะเย็นสนิท และระหว่างนั้นถ้าเปิดสวิตซ์ใหม่ก็จะร้อนจัดเร็วขึ้นมากต่างจากผู้ชายที่เหมือนเตาแก๊สจุดติดร้อนเร็วพอปิดก็ดับทันที


การร่วมรักที่จะให้ผู้หญิงไปถึงจุดสุดยอดจึงต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ว่าผู้หญิงสามารถที่จะถึงจุดสุดยอดได้ติดๆ กันหลายครั้งถ้าผู้ชายเข้าใจ วิธีการแรกคือ ให้ศึกษาถึงกระบวนการเล้าโลมที่แฟนของคุณชื่นชอบ และกระทำให้เธอตามแบบที่เธอชอบไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นบริเวณเต้านม ท้องน้อย หน้าขา รวมทั้งจุดซ่อนเร้น หรือทำออรัลเซ็กซ์ที่เธอโปรดปรานจนเธอสุขสมไปแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้พอใช้อวัยวะของคุณปฏิบัติงานต่อไปเธอก็จะสามารถถึงจุดสุดยอดได้อีกครั้งแล้วครั้งเล่าจนติดใจที่จะร่วมรักกับคุณทุกครั้งที่คุณขอเลยทีเดียว


แต่สำหรับท่าร่วมรักที่ทำให้ผู้หญิงถึงจุดสุดยอดได้เร็วนั้นคงจะหนีไม่พ้นท่า “WOMEN ON TOP” ที่ผู้หญิงของคุณเป็นฝ่ายกระทำอยู่ด้านบน เพราะในท่าดังกล่าวจีสปอตของเธอจะได้รับการกระตุ้นตลอดเวลาต่างจากท่ามิชชันนารีหรือท่ามาตรฐานที่จีสปอตไม่ค่อยจะโดนกระตุ้นมากเท่าไร ท่าที่ผู้หญิงนอนโก้งโค้งก็เป็นอีกท่วงท่าหนึ่งที่ทำให้ผู้หญิงไปถึงดวงดาวได้ง่ายขึ้นเช่นกัน

“อ้น” ขอ พอได้แล้วกระแสข่าวคลิปคู่ “นาธาน”

Thursday, December 18, 2008


คลิปอันเก่ายังไม่ทันจะจางไปจากกระแส ล่าสุด ก็มีกระแสข่าวว่าอาจจะมีคลิปของหนุ่ม “อ้น สราวุธ มาตรทอง” หลุดออกมาให้ดูอีก และไม่ใช่แค่เจ้าตัวคนเดียวเท่านั้นเพราะอาจจะพ่วงหนุ่ม “นาธาน โอมาน” เข้ามาด้วยอีกต่างหาก


อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามความรู้สึกไปนักแสดงหนุ่ม เจ้าตัวบอกว่า ไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไรต่อข่าวที่ว่า เพราะเคยได้ยินมานานแล้ว พร้อมวอน อย่าเอาชื่อของนักร้องรุ่นน้องมาเกี่ยวข้อง...“อ๋อ เรื่องนี้มีคนพูดตั้งแต่วันแรกๆ แล้วครับ เราก็เลยไม่ได้เดือดร้อนอะไรเพราะว่ามันผ่านไปแล้ว แล้วเราก็ไม่อยากจะพูด เรื่องของเก่านะ”


“แต่ของใหม่พอและอย่าเอามาเกี่ยวกับเราได้แล้ว มันพอแล้ว มันไม่เกี่ยว ของเก่ามันมีอยู่เยอะแล้ว พอเจอของใหม่ก็โน พอ ได้โปรด คือ ธาน เนี้ยเป็นน้องที่ผมรัก แล้วตอนนี้ก็ไปได้ดิบได้ดีแล้ว ก็ปล่อยให้มันไปดีดีกว่า อย่าไปดึง ธาน ลงมา อย่าเอาผมเข้าไปเกี่ยวพอแล้ว พอแล้วดีกว่าครับ ไม่อยากพูดอะไรแล้วจบดีกว่าครับ”


สำหรับความคืบหน้าของคดีเจ้าตัว บอกว่า ตำรวจกำลังทำการสืบสวนอยู่ แต่ตนยังไม่ทราบความคืบหน้า เพราะไม่ได้ไปตามที่ตำรวจนัด เนื่องจากงานยุ่งมาก ส่วนกรณีที่ว่านักแสดงหนุ่มปล่อยออกมาเอง เพื่อกลบข่าวเกย์นั้น หนุ่มอ้น บอก หากใครไม่เจอกับตัวคงไม่รู้หรอกว่าเป็นอย่างไร


“อยากให้คนที่คิดว่าผมปล่อยภาพเองให้มานั่ง แทนที่ผมดีกว่าจะได้รู้สึกว่าผมรู้สึกยังไง มันไม่มีความสุขเลย” คนเราใช้ชีวิตนะครับ ผมจะเป็นหนอนผมก็รู้ว่าผมเป็นหนอน แต่ถ้าเกิดว่าผมจะเป็นตัวอะไรก็ตาม หรือผมเป็นอ้น สราวุธ อย่างเนี้ยคงไม่ต้องพยายามเพื่อที่จะเป็นอะไร”


“เพราะผมอยู่ ในวงการนี้ ทุกคนเห็นผมก็เป็น อ้น สราวุธ มาโดยตลอดอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเนี้ยทุกคนที่รู้จักอ้นที่สนิทกันเนี้ยเขารู้เรื่องเขาไม่ตื่นเต้นหรอก เพราะว่าเขารู้จักเรา แต่สำหรับคนนอกเนี้ย อาจจะ งึ้กๆๆๆ ไอ้ความคิดคนนะคิดไปไหนก็ได้ ทุกคนตัดสินไปแล้วก็จบ และผมก็ไม่อยากพูดถึงมัน”


“มีนักข่าวมาถามผมหลายคน ถามผมว่าแล้วตัวตนของอ้นจริงๆ เป็นอย่างไง ถามเยอะเหมือนกัน และผมก็ได้ตอบไปว่า ผมคงจะอธิบายความเป็นตัวผมให้คุณเข้าใจไม่ได้ภายในสองบรรทัด ถ้าอยากรู้จักผมก็มาคบกันเท่านั้นเอง”


รับที่ผ่านมาถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ย่ำแย่สุดๆ


“ตอนนี้ก็ต้องขอขอบคุณทุกคนครับ ดีขึ้นเยอะมาก เพราะพวกเราทุกๆ คน ก็ไม่ค่อยคิดมากแล้วก็เริ่มสงบขึ้นครับ อยู่ในความสงบเริ่มทำงานทำการคือตอนนี้จริงๆ ก็กลับมาสู่ภาวะปกติ เวลาไปไหนก็จะมีคนหลายๆ คนที่ไม่รู้จักเดินมาบีบแขนกอดแล้วบอกสู้นะ แค่นี้มันก็มากมายแล้วครับก็เลยคิดว่าไม่มีอะไรครับ ก็รู้สึกขอบคุณทุกๆ คนเลย ทุกๆ คน”


“คือ จริงๆ น่าจะรู้ว่าผมอยู่ในวงการนี้มาอย่างเงียบๆ มาโดยตลอดไม่ค่อยอยากจะได้เป็นข่าวอะไรมากนัก แล้วก็ไม่ค่อยอยากจะออกงานบ่อยๆ เพราะว่าผมก็จะเจอกันในเวลาทำงานเท่านั้น แต่พอมันมาเป็นอย่างนี้ผมก็ไม่ได้มีความสุขมาก ตรงนี้มันไม่ใช่สิ่งที่น่าภูมิใจ แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วทุกคนก็ยังยอมรับในสิ่งที่ผมเป็นเท่านั้น”


“ก็ขอบคุณสำหรับกำลังใจและสำหรับเทวดาสาธุนะครับเด็กๆ ที่เป็นแฟนเยอะมากก็ยังบอกว่าพี่อ้นก็ยังเป็นเทวดาต่อไป ทีมงานบอกว่าถ้าพี่อ้นไม่เล่นก็คงหาเทวดาคนใหม่ไม่ได้เหมือนกันก็ต้องรอดูกันต่อไป ก็ฝากไว้ว่าอะไรที่ดีของพี่อ้นแล้วน้องๆ ได้เห็นก็เก็บไปใช้แต่อะไร ถ้ามันไม่ควรหรือไม่เห็นว่าเป็นตัวอย่างได้ก็ดูเคสนี้เป็นตัวอย่างแล้วกัน”


เผย คุยกับผู้ใหญ่แล้ว หลังแสดงละครเพลง “เพลงรักวณิพก” เสร็จอาจจะขอพักผ่อน รวมถึงเตรียมจะบวชพระหลังปีใหม่นี้ด้วยด้วย...“ช่วงนี้ผมขอเคลียร์กับผู้จัดการไว้แล้วว่าผมอยากจะพัก เพราะว่าทำมาทั้งปียังไม่ได้พักเลยครับ ก็เลยเดี๋ยวจะต้องพักนิดนึง คือจริงๆ ช่วงนี้ผมต้องอยู่ที่สิมิลันแล้ว ไปอยู่เกาะ ไปอยู่คนเดียวครับ”


“แต่เนื่องจากต้องเล่นละครเวทีแล้วเป็นงานการกุศลด้วย แล้วทางผู้ใหญ่ก็บอกว่าเป็นงานที่ดีด้วย เขาก็ต้องการนักแสดงที่สามารถร้องได้เต้นได้แสดงได้ แล้วเขาก็คิดว่าอ้นทำได้ลองดู คือพอเราคุยกันแล้วดูคิวเราแล้วก็โอเคคือถ้าเขาโอเคเราก็เต็มที่ ก็เลยกลายเป็นว่าผมเอาคิวที่ผมพักช่วงนี้ให้เขาไปหมดเลยครับ”


“แต่หลังปีใหม่อาจจะมีอะไรมาแทรกซึ่งเป็นงานมงคลที่ดี คือผมตั้งใจว่าจะบวชครับตอนนี้กำลังหาฤกษ์อยู่ครับ พอดีละครเวทีมีตอนเดือนเมษาก็เลยกะว่าถ้าเราหาฤกษ์ได้ช่วงนั้นก็กะว่าจะบวชสักพักนึงตอนนี้ก็ก็กำลังหาฤกษ์แล้วก็เคลียร์งานก็วางไว้แล้วแต่ตอนนี้เหลือคือจะได้วันไหน”


“คือผมว่าจะว่าจะมานานแล้วนะครับ แล้วมันก็มีงานนู้นงานนี้มาเยอะแยะมากมายไม่ได้บวชสักทีจนเกิดเรื่อง ผมก็เลยรู้สึกว่ามันถึงเวลาแล้วแหละ อยากนิ่งๆ แต่ถ้าเราไม่จัดเวลาให้ความนิ่งเราก็คงจะต้องทำนู่นทำนี้ไปเรื่อยๆ ทำงานก็ชอบอยู่แล้วแต่ว่าถ้ามันถึงเวลาเราก็ต้องหยุดสักพักนึงเพื่อตัวเองด้วย แล้ว 25 แล้วก็ยังไม่ได้บวชเลย ซึ่งอ้นคิดว่ามันน่าจะเป็นช่วงเวลาที่ดีแล้วก็ผู้ใหญ่หลายคนเห็นดีด้วยก็โอเคครับ”


“ตอนแรกผมกะว่าผมจะไปบวชแล้วไปอยู่ในป่าแต่ว่าน้องคนเล็กคือถ้าผมบวชแล้วน้องผมจะบวชด้วยแล้วเขาไม่ค่อยสบาย แล้วก็คิดว่าถ้าเราบวชแล้วเขาบวชเราก็จะได้บุญด้วยกันคุณอาคุณแม่เขาจะได้ดูแลได้ครับ ตั้งใจไว้ถ้าได้ฤกษ์แล้วแน่นอนครับ”

Faghag เธอรักเกย์

Wednesday, December 17, 2008

มิตรภาพและความรัก โดยส่วนใหญ่แล้วมักเป็นเรื่องของความรู้สึกมากกว่าการคิดคำนวณ เพราะเป็นความรู้สึก สิ่งกีดขวาง-ไม่ว่าจะในเชิงรูปธรรมหรือนามธรรม-จึงเป็นเพียงสิ่งย่อยสลายได้เมื่ออยู่ต่อหน้าความรู้สึก พรมแดนประเทศ ขอบฟ้า ฐานะ กำแพง ศาสนา หรือเพศ ถึงที่สุดก็เป็นแค่สิ่งย่อยสลายได้
โลกมีอายุราวๆ 4.5 พันล้านปี ทั้งที่เป็นโลกใบเดิมแต่มันกลับซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ ตามปริมาณมนุษย์ มิตรภาพและความรักระหว่างมนุษย์ด้วยกันก็เลยมีรูปแบบหลายหลากยากคาดเดา
เปล่าเลย มันไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด ไม่จำเป็นต้องมีนิยามหรือชื่อเรียกเฉพาะ แต่มนุษย์คงเป็นสิ่งมีชีวิตที่จะดำรงชีวิตอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่รู้ว่าจะเรียกสิ่งนั้นสิ่งนี้ว่าอะไร มิตรภาพและความรักในรูปแบบที่ไม่คุ้นเคยระหว่างเกย์จริง-หญิงแท้ จึงต้องถูกตั้งชื่ออะไรสักอย่าง
เขาเรียกผู้หญิงที่คบเกย์ รักเกย์ว่า Faghag
Faghag?
โตมร ศุขปรีชา เจ้าของหนังสือแรงๆ อย่าง ‘Genderism’ และบรรณาธิการบริหาร นิตยสาร GM พูดให้ฟังว่า Faghag เป็นคำอเมริกันจ๋าสุดๆ ที่ไม่ปรากฏในฝั่งยุโรป มันไม่ได้ผุดขึ้นจากความว่างเปล่าหรืออาการไม่มีอะไรจะทำของมนุษย์ ก็เลยหาอะไรทำด้วยการตั้งชื่อความสัมพันธ์รูปแบบนี้ แต่มันเกิดจากการต่อสู้ทางการเมืองเรื่องเพศของคนอเมริกัน เมื่อทั้งผู้หญิงและคนที่มีความหลากหลายทางเพศ ไม่ว่าจะเป็นเกย์ เลสเบี้ยน หรืออื่นๆ ต่างถูกกดขี่ด้วยอริคนเดียวกันคือผู้ชายและความสัมพันธ์แบบชาย-หญิง
“Faghag มันเป็นคำที่เกิดขึ้นในอเมริกาก่อนที่อื่นเลย ในช่วงที่เกิดอาการ Homophobia พอหลังจากที่คนเริ่มเข้าใจก็ไม่มีอาการ Homophobia
แต่จะเกิดอาการต่อต้านในอีกลักษณะหนึ่งเรียกว่า Homophobia phobia”
Wikipedia บอกว่า Faghag เป็นคำแสลง ใช้เรียกผู้หญิงที่มักมีปฏิสัมพันธ์เฉพาะหรือส่วนใหญ่กับเกย์ หรือมีเพื่อนสนิทเป็นเกย์ ซึ่งผู้หญิงบางคนก็ชอบที่จะถูกเรียกด้วยคำคำนี้ ขณะที่อีกบางคนก็เกลียด
Faghag อภิรมย์การแฮงก์เอาต์กับเพื่อนเกย์ หรือบางหล่อนก็เผลอใจหลงรักเกย์อย่างปิดบัง แต่ถึงกระนั้น Faghag ก็ยังคงมีความสัมพันธ์กับผู้ชายแท้ๆ ได้ (หรือแม้แต่กับผู้หญิงด้วยกัน)
ผู้หญิงบางคนพูดว่า ‘ผัวชั้นให้เงินกับเซ็กส์ แต่เกย์ให้ความสนุกสนาน’
เพราะฉันรักเกย์
1
ฤดูหนาวโปรยไอเย็นไว้ทั่วกลางเมืองเชียงใหม่
ผมนั่งคุยกับ ฟาง (นามสมมติ) หญิงวัย 54 ปีที่เคยผ่านชีวิตคู่ที่ไม่น่าทรงจำ ในร้านอาหารไฟสลัวๆ ของโรงแรมแห่งหนึ่ง เธอยอมรับว่าเป็น Faghag
“ถ้าถามว่าฉันรักมั้ย ฉันรัก ฉันชอบ ประทับใจ เพราะเขาแตกต่างกับผู้ชายทั่วๆ ไป ความรู้สึกของพี่ พี่ก็ผ่านครอบครัวมาแล้ว การผ่านครอบครัวทำให้เราเกิดการเปรียบเทียบกับผู้ชายจริงๆ ความสะอาด ความเนี้ยบ อะไรหลายๆ อย่างที่เราไม่เคยได้รับจากผู้ชายจริงๆ มันบอกไม่ถูกนะ แต่มันเป็นความรู้สึกที่ประทับใจ”
ฟางมีความสัมพันธ์ทางใจกับเกย์คนหนึ่งที่อายุมากกว่าเธอ 6 ปี ฝ่ายเกย์คนนี้ก็มีแฟนเป็นเกย์อยู่แล้ว และแฟนเกย์คนนี้ก็รู้ว่ามีฟาง แต่ความรักแบบ 1 หญิง 2 เกย์ ก็เป็นไปอย่างราบรื่น เธอเองยังเปิดตัวแฟนเกย์กับเพื่อนสนิทบางกลุ่มด้วยซ้ำ
“เขาดูแลเรา เขาห่วงใยเรา แต่เขาก็มีภาระ มีพันธะของเขาอยู่ เขาก็มีคนของเขาอยู่ แฟนเขาก็รู้ แต่ฉันก็รักน่ะ (หัวเราะ) เรารับสภาพของเราได้ ไม่อึดอัด มันเป็นเรื่องของจิตใจ”
ความสัมพันธ์ระหว่างฟางและเกย์ล่องไหลอย่างนุ่มนวลและอบอุ่นมาตลอด 30 ปีโดยไม่มีเซ็กซ์เข้ามาเกี่ยวข้อง
“พี่ไม่มีอารมณ์ความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ พี่รู้ว่าเราต้องยอมรับสภาพ ถ้าไม่ยอมรับเราก็ไม่มีคนคนนี้อีกแล้ว พี่นอนในอ้อมแขนของเขา ความรู้สึกเรื่องเพศเราไม่มีให้กัน แต่ความรู้สึกอื่นๆ เขามีให้กับเรา ความห่วงหาอาทรมีให้ ทุกอย่างมีให้ ก็มีแค่เรื่องเดียวที่ไปกันไม่ได้เท่านั้นเอง ความอบอุ่นที่เขามีให้กับเรา มันชดเชยได้ทุกอย่าง จริงๆ ผู้ชายบางคนมีเรื่องนี้ แต่ไม่ได้คิดถึงอารมณ์ของเรานี่ มีใช่มั้ยที่บางทีนอนกับเมียแล้วข่มขืนเมีย แต่เขาคนนี้มีแต่ความอบอุ่นให้เรา ตรงนั้นมันเต็ม มันอิ่มแล้ว”
ฟางรู้ตัวว่าเป็น Faghag มีความรู้สึกดีๆ กับเกย์มาตั้งอายุยี่สิบสี่ยี่สิบห้า ตอนเรียนก็คบหาแต่เพื่อนเป็นเกย์ บวกกับประสบการณ์การมีครอบครัวกับผู้ชายแนวเห็นแก่ตัว ซึ่งเธอบอกว่านั่นก็เห็นสาเหตุนิดหน่อยที่ทำให้เธอรักเกย์ ส่วนเรื่องความเนี้ยบ ความสุภาพ ความสะอาด เรียบร้อย เกย์กินขาดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ไอ้ที่จะมานั่งแคร์สังคมจะซุบซิบนินทา เมาธ์แตกแหกโค้ง ฟางไม่เคยสนใจ เพราะว่าเป็นเรื่องส่วนตัว (มีคนพูดว่าความรักเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล เป็นเรื่องของเราคนเดียว คนอี่นไม่เกี่ยว) การงานไม่เสียหาย ไม่ทำให้ใครเสียหาย แล้วทำไมจะต้องมานั่งกลุ้มใจเพราะรักเกย์
“มันเป็นความรักที่บริสุทธิ์ รักได้ และไม่เป็นพิษเป็นภัย เรามีแต่สิ่งที่ดีๆ ให้กัน อย่าไปคิดถึงสิ่งที่จะเป็นทุกข์ ถ้าคิดแล้วมันจะมี เราต้องยอมรับสภาพ เราพอใจคนคนนี้มั้ย ถ้ายอมรับก็จบ ไม่ต้องไปแสวงหาอย่างอื่นมาชดเชย รักก็คือรัก”
2
กับ Faghag ที่เฉดอ่อนลงมาอย่าง พีรนุช เจ้าของธุรกิจเครือข่ายวัยเกือบ 30 เธอยังไม่มั่นพอจะบอกว่าตัวเองเป็น Faghag ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เธอก็บอกว่ามีแฟนเป็นเกย์ก็ไม่มีปัญหา รับได้ สบายมาก ...แต่ต้องมีลิมิต
“ในความรู้สึกเวลาที่เราจะชอบใครสักคนหนึ่ง แล้วจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเขา เขาอาจจะมีโลกส่วนตัวของเขาอีกโลกหนึ่งที่เขามีความสุข ถ้าเขาได้ทำในสิ่งสิ่งนั้น แต่ถ้าเกิดเราคุยกันแล้วว่าเราจะใช้ชีวิตร่วมกัน การใช้ชีวิตร่วมกัน เราก็ไม่ใช่เจ้าของชีวิตเขา เขาก็ไม่ใช่เจ้าของชีวิตเรา แต่มันเหมือนอยู่กับเพื่อนคนหนึ่งตลอดชีวิต ที่สามารถจะดูแลกันได้ตลอดไป”
เธอเล่าว่าแฟนคนหนึ่งที่เธอเคยคบ ใครๆ เห็นก็ชี้ว่าเป็นเกย์ เป็นเกย์ และเป็นเกย์ เธอบอกว่าเธอไม่รู้ อาจจะเป็นมั้ง แต่แล้วยังไงล่ะ เธอคบได้หมด “เพราะทุกคนมีความเป็นมนุษย์เหมือนกัน”
พีรนุชยังอธิบายด้วยว่า เกย์ส่วนใหญ่จะเป็นคนมีเสน่ห์ เข้าอกเข้าใจผู้หญิงดีกว่าผู้ชาย มีมารยาทและสุภาพ
“ถ้าเป็นแฟนกัน เขาจะเปิดเผยว่าเขาเป็นเกย์ก็ไม่ว่ากัน แต่ถ้าวันหนึ่งมีลูกด้วยกันก็ต้องรักษาภาพลักษณ์ รักษาจิตใจลูกด้วย แต่ในความสัมพันธ์ของเขาในช่วงเวลาหนึ่งที่เขาขอไปมีความสุขตามความต้องการของเขาเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ว่ากัน เพราะวันนี้สังคมไทยยอมรับในระดับหนึ่ง อนาคตถ้ายอมรับมากกว่านี้ คุณจะเป็นอะไรก็ไม่ว่า แต่วันนี้ วัฒนธรรมไทย สิ่งที่เป็นกรอบ สิ่งที่ดีงามยังมีอยู่ เราก็ควรจะยังอยู่ในกรอบนั้น เพราะเราอยู่ประเทศไทย แต่ถ้าเราเป็นฝรั่งจะไม่ว่าเลย ยังไงก็ได้”
3
ถาม ณภัทร เอเยนซีโฆษณานางหนึ่งว่า ผมเรียกคุณว่าเป็น Faghag ได้หรือเปล่า
“ได้ เรียกได้ ส่วนใหญ่ก็มีเพื่อนเป็นเกย์”
ณภัทรเป็น Faghag แบบที่มีเฉดสีอ่อนลงมาอีก เธอไม่ได้มีเจตนาอันมุ่งมั่นที่จะสานความสัมพันธ์กับเกย์ให้เลยไกลกว่าความเป็นเพื่อน
“ไม่ใช่ว่าเราคบกับพวกนี้เพราะอยากจะเป็นแฟนเขา บางคนก็หน้าตาดี หรือบางคนเขาก็เทกแคร์เราดีมาก เราก็โอเค ยอมรับว่ามีหวั่นไหวบ้าง แต่เราก็ไม่ได้มีความรู้สึกว่าอยากจะไปมีอะไรกับเขา มันไม่ใช่ เราก็รู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นเกย์”
ความหมาย Faghag ของณภัทรหยุดอยู่แค่ความเป็นเพื่อนสนิท ประมาณว่าคบเกย์เป็นเพื่อนแล้วสบายใจ ไม่เหมือนผู้หญิงที่จู้จี้จุกจิก อีกทั้งเพื่อนเกย์ของเธอดูจะเป็นพหูสูต ผู้สามารถให้คำปรึกษากับเธอได้ทุกๆ เรื่อง ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ แฟชั่น การงาน หนัง เพลง ถึงไลฟ์สไตล์ กับณภัทร การคบหาเกย์เป็นเพื่อนดูจะเป็นเรื่องของรสนิยม ไลฟ์สไตล์ และทัศนคติที่คล้ายๆ กัน
“ใครจะเรียกเราว่า Faghag ก็เฉยๆ มันไม่ใช่อะไรที่ไม่ดีในสายตาเรา เพื่อนๆ หลายคนก็รู้ว่าเรามีเพื่อนเป็นเกย์เยอะ ไปดูหนัง ดูคอนเสิร์ต ไปชอปปิ้ง ไปกินข้าวกัน ที่ทำงานไม่มีปัญหา แต่ที่บ้าน พ่อแม่อาจจะหัวโบราณนิดหนึ่ง ก็จะบ่นๆ บ้าง”
Faghag in Thailand
สังคมไทยนำเข้าคำว่า Faghag จากอเมริกาซึ่งเป็นคำที่มีประวัติศาสตร์ของมันเอง แต่ก็เช่นเดียวกันอีกหลายๆ คำที่เรานำเข้าสู่ไทยแลนด์แดนสไมล์ คือเราไม่จำเป็นต้องรู้หรือสนใจที่มาและแก่นกระดูกสันหลังของคำ มากไปกว่าคำนิยามบุคคลที่หยิบใช้ได้สะดวก
ความหมายของ Faghag ของแต่ละคนมีความแตกต่างกันออกไป
นที ธีระโรจนพงษ์ ประธานกลุ่มเกย์การเมือง บอกผมว่า Faghag คือผู้หญิงที่ชอบเกย์ รักเกย์ และต้องการสานสัมพันธ์ถึงขนาดสร้างครอบครัวด้วยกัน
วิทยา แสงอรุณ คอลัมนิสต์และโปรดิวเซอร์ บอกผมว่า Faghag คือผู้หญิงที่ชอบคบเกย์เป็นเพื่อน มีเกย์เป็นเพื่อนสนิท แฮงก์ไหนแฮงก์กัน แต่ไม่ได้ต้องการเป็นแฟนกับเกย์
โตมร บอกผมว่า Faghag แต่ดั้งเดิมไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความรักแบบโรแมนติก แต่เรามักจะเข้าใจว่า Faghag คือผู้หญิงที่หลงรักเกย์
ทั้งที่จริงๆ Faghag ไม่ได้มีแค่แบบเดียว ความหมายต่างกัน การมองปรากฏการณ์ย่อมต่างกัน นทีในบทบาทของผู้รณรงค์ประเด็นสิทธิของเกย์ มองว่า Faghag ตอบจุดประสงค์ของเหล่าผู้ชายมีองค์แบบแอบๆ ได้
“FagHag มันมีอยู่จริง แล้วก็สามารถตอบสนองว่าเกย์เหล่านี้ก็สามารถมีลูกได้กับผู้หญิงเหล่านี้ ซึ่งบังเอิญสังคมไทยเป็นสังคมที่พยายามยัดเยียดความเป็นพ่อให้กับเกย์ แล้วเกย์เองก็มี Mentality ที่จะต้องมีเมียเพื่อดำรงไว้ซึ่งความเป็นผู้ชายส่วนหนึ่ง เมื่อมี FagHag เกิดขึ้นมันก็เลยสอดรับกับวัตถุประสงค์ของเกย์ ได้คนที่เขาไม่ถือไม่สาเรื่องนี้มาเป็นเมีย ได้ผลิตลูกตามที่หลายคนปรารถนา ได้ทำให้พ่อแม่เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจในระดับหนึ่ง”
แต่หัวใจเกย์ไม่ได้มีที่ทางให้ผู้หญิงในฐานะแฟน แต่หัวใจหญิงกลับมีความรู้สึกเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ สุดท้ายก็เกิดภาวะนกผิดฟ้า ปลาผิดน้ำ ปัญหาบานปลาย
“สิ่งที่ FagHag ต้องรู้และเตรียมตัวก็คือ หัวใจของคนที่เป็นเกย์เขาไม่ได้ดีไซน์ไว้สำหรับผู้หญิง เขาดีไซน์ให้กับผู้ชาย เพราะฉะนั้นคุณไม่ Fit In คุณไม่ได้รับความรักที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจอย่างแน่นอน มันจะรุนแรงมั้ยล่ะสำหรับบางคนที่อยู่กับเขาทั้งชีวิต แต่ไม่ได้รับความรักเลย เขาอาจจะเสแสร้งทำเป็นชอบคุณมากก็ได้หรือคิดว่าคุณสามารถตอบสนองบางส่วนของเขาได้ แต่หัวใจของเขาไม่ได้มีให้คุณเลย สุดท้าย เกย์คนนี้ก็ต้องไปหาผู้ชาย โอกาสที่เขาจะทิ้งผู้หญิงมีมากมาย หนำซ้ำยังโยงไปถึงลูกด้วย เมื่อลูกเกิดมา ใครจะรับผิดชอบกับครอบครัวที่แตกแยกจากการที่พ่อและแม่มีเพศที่ไม่สอดคล้องต้องกัน ลูกจะช้ำใจมั้ยล่ะที่ต้องเห็นพ่อเป็นแต๋วแหวว แล้วลูกจะต้องเผชิญหน้ากับอะไร”
แต่วิทยามอง Faghag จำกัดอยู่ในกรอบของความเป็นเพื่อนเท่านั้น เขาบอกด้วยว่าการที่เกย์ต้องการให้ผู้หญิงมาเป็นเกราะกำบังทางสังคมน่าจะเป็นเรื่องเฉพาะกรณี จะเหมารวมว่าผู้หญิงเป็น Faghag คงมิได้
ความเห็นที่น่าสนใจอีกอย่างของวิทยาอยู่ตรงที่ว่า แล้วทำไมล่ะ ผู้หญิง Faghag ถึงชอบแฮงก์เอาต์กับเกย์
“ผู้หญิงอาจจะรู้สึกไม่สบายใจเวลาไปเที่ยวกับกลุ่มผู้ชาย ผู้หญิงที่คบกับเกย์เพราะเขาอยากจะเป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องคอยระวังว่าจะต้องทำตัวเป็นผู้หญิงให้ผู้ชายมาสนใจ เขาจะโลดโผนโจนทะยานยังไงก็ไม่มีผู้ชายมามองเขาว่าเป็นผู้หญิงไม่ดี ซึ่งจุดนี้มันเป็นอิสระของผู้หญิงที่อยู่ในกลุ่มเกย์ เพราะเกย์ไม่มองผู้หญิงเหล่านี้ว่าเป็นผู้หญิงไม่ดี แล้วผู้หญิงคนนี้ก็ไม่ต้องไปแคร์สายตาคนอื่น
“ถ้าไปตามผับจะเห็นตลอด ในก๊วนจะมีเกย์อยู่สองสามคน แล้วจะมีผู้หญิงอยู่คนเดียว จะไม่มีผู้หญิง 2 คนอยู่ในก๊วนเกย์ เพราะว่ามันไม่ได้มีผู้หญิงเยอะแยะมากมายที่ชอบแฮงก์กับเกย์ ผู้หญิงที่อยู่ในก๊วนเกย์คนเดียว เธอจะเป็นเหมือนกับไข่ในหิน เพื่อนเกย์จะต้องปกป้องฉัน ลองไปเดินดูตามผับสิ”
แต่พอมอง Faghag ในประเด็น Gender ผ่านแว่นของโตมร นอกจากเขาจะมองในเชิงประวัติศาสตร์ของคำ เขายังมองกระบวนการเกิดขึ้นของ Faghag และการนำไปใช้ในบริบทของสังคมไทย
“ถ้าย้อนกลับไปสมัยโบราณหน่อย โดยเฉพาะในสังคมไทยก็จะเจอ Faghag อีกแบบหนึ่ง เช่น เป็นแม่บ้านที่ต้องทนอยู่กับกรอบของ Heterosexual อย่างเช่นสามีไปมีเมียน้อย แล้วก็อาจไปเป็น Faghag ไปเป็นเพื่อนกับกระเทยในร้านทำผม ซึ่ง Faghag แบบนี้เป็นแบบตั้งต้นในสังคมไทย เป็นแบบที่เหมือนกับเราดูขอทานแล้วเราก็บอกว่าไม่เป็นไร ชีวิตเรายังดีกว่าขอทาน เหมือนกัน ผู้หญิงที่ถูกกดขี่ในสมัยก่อน ก็มาเป็นเพื่อนกับเพศที่ถูกกดขี่มากกว่า แล้วก็อาจเกิดความรู้สึกสบายใจ แต่นี่มันเป็นบริบทสำหรับสังคมไทยมากๆ ถ้าเป็นฝรั่งมันจะมีความเป็นการเมืองมากกว่านี้ จะมีการถูกตั้งแง่รังเกียจ Faghag ก็เป็นหนึ่งในส่วนหนึ่งของ Homophobia ด้วย
“ที่ผมสนใจ Faghag อีกแบบหนึ่ง ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเกิดขึ้นในช่วงเวลา 10 ปีนี้ คือเป็น Faghag แบบที่ผู้หญิงเกิดกระบวนการกลายเป็นกะเทย เช่น นักแสดงหญิงคนหนึ่ง ผมรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่สมาทานเอาวัฒนธรรมย่อยแบบกะเทยเข้าไปในตัวเยอะ แล้วเราจะเห็นผู้หญิงอีกเยอะมากที่ทำท่าทางเหมือนกะเทย คือใช้วิธีแบบกระเทยที่จะดีลกับคนอื่น ไม่ได้บอกว่าดีหรือไม่ดีนะครับ แต่กรณีนี้จะเห็นได้ชัดว่าเธอสามารถสร้างตัวตนออกในวงการได้”
เขาบอกอีกว่าแก่นความคิดของคำคำนี้ไม่มีเรื่องเซ็กซ์เข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
“แต่ถ้าจะถามเรื่องผู้หญิงที่มีเซ็กซ์กับเกย์ มันก็ต้องไปอีกเรื่องหนึ่ง เพราะเรื่องแบบนี้ก็จะเจอเยอะ เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่เจอมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น ไปเที่ยวผับ แล้วผู้หญิงก็ชอบเกย์ เต้นรำด้วยกัน แล้วชวนไปมีเพศสัมพันธ์ ผู้ชายก็อาจจะบอกว่าเป็นเกย์นะ แต่ผู้หญิงก็ไม่ได้สนใจ แต่แบบนี้ไม่ใช่ Faghag”
ว่าแต่ว่าเรา-เราในที่นี้หมายถึงสังคมไทย-จะเอายังไงกับ Faghag ตอนนี้คงยังไม่มีใครตอบได้ เพราะเป็นคำค่อนข้างใหม่ สำหรับนที เขาจึงต้องการเน้นการให้ความรู้เรื่องความหลากหลายทางเพศแก่สังคม แก่ Faghag
ว่าแต่ว่า...ทำไมเราถึงต้องตีตราว่าคนนั้นคนนี้เป็น Faghag
.............
“เวลาเรารับอะไรมาจากตะวันตก เราไม่ได้เอาฐานคิดมาด้วย เอามาแต่สิ่งที่เราเห็นภายนอก Faghag ก็คล้ายๆ กัน ถ้าในผู้หญิงที่มีกระบวนการกลายเป็นกะเทย เราก็สมาทานมาแต่ความสนุกสนาน แต่เราไม่ได้หยิบเอาการต่อสู้ทางการเมือง การต่อรองทางอำนาจ อย่างเรื่อง Homophobia ในอเมริกา ซึ่งมีส่วนทำให้เกิด Faghag ขึ้นมา แต่อย่างของไทยถ้าเกิดหยิบเอามาแค่คำมาเพื่อใช้เรียกผู้หญิงที่เป็นเพื่อนกับเกย์ หรือแม้แต่ผู้หญิงที่เป็นเพื่อนกับเกย์ก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ ซึ่งเราอาจจะมองว่ามันพัฒนามากกว่าอเมริกา เพราะเราไม่ต้องสนใจเรื่องนี้ มองแบบนี้ก็ได้ หรือจะมองว่าเราเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็ได้เหมือนกัน เช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆ ในสังคมไทยทั้งหลาย ที่ยอมให้สิ่งที่มองไม่เห็นเข้ามาควบคุม แล้วเราก็เห็นความจริงครึ่งเดียว แล้วเราก็ยอมรับมัน” โตมรทิ้งท้ายอย่างแสบและคัน
***********
เรื่อง-กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล

หนุ่มเซเว่น

Monday, December 15, 2008



ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ขอบเด็กหนุ่มรุ่นๆ เห็นที่ไหนไม่ได้ต้องคอยแอบมองเป้ากางเกงเขาเรื่อยไป ใจก็นึกว่ามันจะขนาดไหนกันหนอ บางทีก็เจอของดี แบบว่าพาดลำขึ้นบนจนล้นออกมา บ้างก็นุ่งกางเกงฟิตจนน่าอึดอัด อยากจะเอามือไปปลดปล่อยให้มันหายใจได้บ้าง แต่หนุ่มหนึ่งที่ผมเห็นเป็นประจำ ก็เป็นหนุ่มรุ่นๆ หน้าตาตี๋ๆ ออกเชยๆด้วยซ้ำ เพราะแว่นหนาๆที่ใส่กับผมเผ้ารุงรัง ทำให้เขาดูเป็นเด็กปอนๆมากกว่า แต่ผมไม่สนใจหน้าตา เสื้อผ้าเก่าๆที่เขาใส่ ผมสนใจแต่รูปร่างของเขา ก็สูงชลูด ไหล่กว้าง เอวคอด แถมเป้ายังแกว่งกวัดล่อตาผมทุกเช้าที่เราเดินสวนทางกัน เขาไม่เคยใส่กางเกงในเลย กางเกงสแล็คหลวมๆที่เขานุ่ง ทำให้ผมเห็นมันแกว่งหัวถนัดตา ผมเดาว่าเขาคงทำงานในหมู่บ้านผม คงเป็นออฟฟิตเล็กๆ ในขณะที่ผมต้องออกทำงานข้างนอก เราเลยสวนทางกันทุกเช้า

ผมเริ่มต้นด้วยการยิ้ม แล้วเหลือบตามองเป้า เขาคงรู้ตัว เพราะเวลาเขาเห็นผม เขาจะเอามือล้วงกระเป๋าทันที แต่ผมก็ไม่อาย ที่จะมองบ้างยิ้มบ้าง จนช่วงหลังเขาคงชิน เลยไม่ปิดป้องอีกต่อไป

มีวันหนึ่ง ผมว่าเขาคงคิดอะไรเพลินๆ หรือคงเห็นอะไรตื่นเต้น เขาเลยตื่นตัว ก็ท่อนเนื้อในกางเกงเก่าๆนั้นมันโป่งพองออกมา ผมเห็นทีเดียวก็แทบช็อค เพราะมันไม่เล็กเลย ยั่วตาผมมาก จนของผมเองก็โป่งตามจนอึดอัดมาก ผมเดาในใจด้วยสายตาและประสพการคร่าวๆว่า อย่างน้อยต้องหกนิ้วกว่าๆ วันนั้น เขารู้ตัวว่าผมมอง เขาก็เดินก้มหน้าอายๆ แล้วเอามือกดหัวโด่ให้ราบไป ผมเองก็ต้องแอบชักว่าวบำบัดตัวเองทันที ที่ห้องน้ำสาธารณะตรงอนุเสาวรีย์ชัย ตอนที่ไปต่อรถ เพราะมันทนไม่ไหว

จนวันหนึ่งผมเห็นเขาเดินสวนมา แบบว่าคงคลั่งถ้าไม่ได้พูดจาด้วย ผมเดินปรี่ไปหาเขาทันทีที่เห็น น้องเขาดูเก้อเขิน และตกใจมาก แต่เราก็เริ่มต้นคุยกันด้วยดี ผมถามว่า เขาทำงานที่ไหน บ้านอยู่ไหน และอีกหลายๆอย่าง พอที่จะรู้ว่า เขาเลิกงานตอน 5.30น. ผมเลยลางานครึ่งวันเพื่อไปดักรอเขา เขาก็ดูแปลกใจที่เห็นผมป้วนเปี้ยนตรงแถวออฟฟิต แต่เราเคยคุยกันแล้ว ก็ไม่ยากที่ผมจะเดินไปทัก และเอ่ยปากชวนเขาไปบ้านผม เพราะมันห่างกันไม่มากเลย เขาตอบตกลง

พอเขาเข้าบ้านผม ผมเองก็หน้ามืด ผมลงมือลวนลามเขาทันที เขาก็คงรู้ตัวบ้าง แต่ก็ขัขืนเล็กน้อย เพราะผมเอามือตะปบเป้าทันทีที่เขานั่งลง มือที่คลำตรงเป้านั้น ผมคลึงเบาบ้างแรงบ้าง มันเต็มมือผมจนล้น พอเริ่มได้ที่ เขาก็ตื่นตัว และลำก็ตั้งขึ้น ผมเลยได้ใจ จับเขาถอดกางเกง เขาอายหลับตาปี๋ แต่ภาพที่ผมเห็นผิดคาดมาก พวงทั้งพวงใหญ่โตเกินตัว ลำเคขาวตรง แต่หัวไม่เปิดมากแบบเด็กรุ่นๆ ส่วนที่พ้นหนังหุ้มก็แดงน่าเอ็นดู ผมเลยก้มหน้าลงดูดเอ็นนั้นเต็มปาก ลิ้นผมค่อยๆแตะเบาๆตรงส่วนหัว เขาสะดุ้งเฮือก แอ่นเอว แล้วเอามือกดหัวผม ผมใช้มือถอกเบาๆให้เขาเสียว พักเดียวหนังก็เปิดออกมาจนหมด กลิ่นอับกลิ่นฉี่แบบคนไม่ได้ล้างมาตั้งแต่เช้า นี่ถ้าเขาดำ หรืออายุมากกว่านี้ผมคงจับไปฟอกสบู่แล้วครับ แต่คราวนี้มันได้อารมย์อย่างประหลาด ผมดูดเอาขี้เปียกที่รอบคอหยักไปหมด เขาถึงกลับครางเสียวเบาๆแบบสะอื้น มือข้างหนึ่งก็เล่นไข่ให้มันหยุ่นมือ พวงไข่ใหญ่ไม่น้อย แถมขาวมากๆ ผมเลยขอดูให้เต็มตา ผมถอดแว่น ถอดเสื้อออกจนหมด เขาน่ารักทีเดียวครับ ตี๋แบบสเป็คผมเลย ผมตะโบมเขาทั้งตัว แล้วก็ดูดเลียจนเขาร้องดังลั่นบ้านผม ก่อนพ้นน้ำออกมาทะลักทะลายเยอะมากๆเข้าปากผม ผมเพิ่งเริ่มต้นได้ไม่เท่าไหร่เขาก็เสร็จแล้ว เขาบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่มีประสพการณ์ ผมอยากให้เขาติดใจ เลยลงมืออีกครั้ง และอีกครั้ง วันนั้นผมสนุกมากครับ แม้เขาไม่ช่วยทำอะไรเลย นอกจากดูดปากกับผมตอนผมชักว่าวให้ตัวเองเท่านั้น

ความต่างระหว่างเกย์ไทยกับเกย์ฝรั่ง

Sunday, December 14, 2008

ไม่เพียงแต่ สภาพความเป็นชุมชนเกย์ ที่มีลักษณะแตกต่างกับตะวันตก ความเข้าใจและทัศนคติที่เกย์มีต่อตนเอง ก็แตกต่าง ไปจากเกย์ตะวันตก มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า ความเป็นเกย์ของเกย์ไทยถูกกำหนดโดยโครงสร้างทางวัฒนธรรม ที่เน้นบทบาททางเพศ ระหว่างชายกับหญิงเป็นอย่างมาก
ในสังคมตะวันตก โฮโมเซ็กช่วล หมายถึง บุคคลที่มีความโน้มเอียง ไปในทางชอบเพศเดียวกัน ไบเซ็กช่วล หมายถึงบุคคลที่มีความโน้มเอียงทางเพศต่อทั้งสองเพศ ขณะที่ เฮกเตอโรเซ็กช่วล หมายถึงบุคคลที่ชอบเฉพาะเพศตรงข้าม ส่วนส่วนคำว่า เกย์ และ สเตรท มีนัยในเชิงวัฒนธรรมมากกว่า
ดังนั้น "เกย์" จึงหมายถึงโฮโมเซ็กช่วล และ อาจรวมถึงไบเซ็กช่วลที่ออกมาใช้ชีวิตอย่างเกย์ คือ เที่ยวเกย์คลับ และ ร่วมกิจกรรมกับชุมชนเกย์ ส่วน "สเตรท"ก็คือ คนทั่วไป ที่มีวัฒนธรรมทางเพศอย่างตรงไปตรงมา
ขณะที่สังคมไทย เวลาที่เราสงสัยว่าใครคนใดคนหนึ่งเป็นเกย์ เรามักจะมีภาพว่า เขาแอบชอบเพศเดียวกัน และมีความรู้สึกนึกคิดแบบผู้หญิง เบี่ยงเบนไปจากมาตรฐาน ที่ควรจะเป็นของผู้ชาย ฉะนั้นโดยทั่วไปเกย์แปลว่าไม่ใช่ผู้ชายเต็มตัว ทว่าเมื่อเรามองให้ละเอียดขึ้น เราจะพบว่าการแบ่งแยกเรื่องทางเพศในบ้านเรา สะท้อนค่านิยม กี่ยวกับบทบาททางเพศ ระหว่างหญิงกับชายเป็นอย่างมาก
นอกจากคำว่า เกย์แล้ว เราจะพบคำอื่นๆ เช่น กะเทย สาวประเภทสอง เกย์คิง เกย์ควีน คำว่า กะเทยเป็นศัพท์ดั้งเดิมในภาษาไทย แรกเริ่มหมายถึง บุคคลที่เมื่อดูที่กายภาพแล้ว ปรากฏทั้ง 2 เพศในตัวคนๆเดียวกัน สังคมไทยดั้งเดิม ไม่มีมโนทัศน์เรื่องเกย์ แต่ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างเพศเดียวกัน ไม่มีอยู่ในสังคมดั้งเดิม เพียงแต่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างชายกับชายในอดีต ไม่ได้ทำให้เพศชายกลายเป็นเพศอื่น
ในเชิงกายภาพ สังคมไทยดั้งเดิมจึงประกอบไปด้วย 3 เพศ คือ เพศชาย เพศหญิง และเพศกะเทย ต่อมาคำว่า กะเทยใช้ระบุ เพศชาย ที่มีบุคลิกกระเดียดไปในแบบผู้หญิง โดยเฉพาะ คนที่ชอบแต่งตัวคล้ายๆ กับผู้หญิงซึ่งมักจะปรากฏว่า บุคคลเหล่านี้ ก็มักจะมี ความสัมพันธ์ทางเพศกับเพศชาย ซึ่งหมายถึงเพศที่มีองคชาติโดยกำเนิด และ มีบุคลิกอย่างผู้ชาย
คำถาม คือ เพศชายที่มีความสัมพันธ์กับเพศกะเทย หรือ มีความสัมพันธ์กันเองนั้นเป็นอีกเผ่าพันธุ์หนึ่งหรือไม่ สังคมไทยแต่เดิม ไม่มีแนวคิดในเรื่องนี้ การมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกันอาจถูกมองว่า เป็นเรื่องวิตถาร แต่ เพศชายก็ยังคงเป็นเพศชาย ไม่ใช่เกย์ ไม่ใช่กะเทยเพราะเราไม่ได้มีมโนทัศน์เกี่ยวกับเกย์
ต่อมาเมื่อเราเอาคำว่า เกย์ มาใช้จากตะวันตก ก็เกิดความสับสน แต่เดิมวัฒนธรรมของเรา ไม่ได้ระบุตัวตนหรืออัตลักษณ์ โดยเอากิจกรรมทางเพศ หรือ วัตถุของการร่วมเพศ มาเป็นเครื่องบ่งชี้ นอกเสียจากลักษณะที่เห็นทางกายภาพ และ การกำหนดบทบาททางเพศ ที่มีอยู่สูง ระหว่าง ผู้หญิง กับ ผู้ชาย แต่นั่นก็ไม่เกี่ยวกับ เรื่องของการร่วมเพศ
ในช่วงแรกๆ ประมาณ 30 กว่าปีที่ผ่านมา เมื่อเราเอาคำว่า เกย์มาใช้จากภาษาอังกฤษในช่วงแรกเกย์จึงถูกมองว่า เป็นกลุ่มเดียวกับกะเทย ดังนั้น เราจึงมีอีกคำ คือ เสือไบ หรือไบเซ็กช่วลใช้เรียกเพศชาย ที่มีลักษณะผู้ชาย แต่ในบางโอกาส อาจสนใจเพศเดียวกัน
ทั้งนี้ สังคมไทย ยังคงถือทัศนคติที่ว่า คนที่มีลักษณะเป็นผู้ชาย ถึงอย่างไรก็ต้องชอบเพศหญิง เพราะเรามีภาพเรื่องบทบาททางเพศ คอยกำกับ ต่อมา มีการสร้างศัพท์ขึ้น โดยขอยืมคำภาษาอังกฤษมาใช้อีก คือการแบ่งแยกระหว่างเกย์คิง กับเกย์ควีน

เกย์ไทยบนถนนโลกีย์

สำหรับชุมชนเกย์ในเมืองไทย ยังมีลักษณะที่ห่างไกลกับของตะวันตกมากดูเหมือนว่าบาร์และคลับเป็นแหล่งชุมชนเพียงแหล่งเดียว เนื่องจากคนไทยมีอุปนิสัยหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและการเมือง ชีวิตชุมชนภายนอกบาร์ ก็เป็นไปโดยยากยิ่ง ยกเว้นกลุ่มกะเทยจะมีเครือข่ายในสังคมของตนเอง
ยิ่งกว่านั้น บาร์และคลับเกย์ในเมืองไทย มีความเป็นธุรกิจสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจทางเพศ ณ จุดนี้เราต้องมองให้ออกว่า การที่คลับเกย์มีลักษณะเช่นนั้น เนื่องมาจาก คลับเกย์เกิดขึ้นในบริบทของสังคมไทยที่การค้าประเวณีเป็นข้อเท็จจริงที่แพร่หลาย ไม่ใช่ว่า ชุมชนเกย์มีลักษณะเช่นนั้นโดยธรรมชาติของมันเอง
ในขณะที่คลับเกย์ในประเทศตะวันตก เป็นสถานที่สำหรับการพบปะกัน บาร์และคลับในเมืองไทยกลับมีเด็กขายบริการจำนวนมาก ทั้งที่เป็นอิสระและทางร้านจัดให้
อย่างไรก็ตามเนื่องจากความทันสมัยของเทคโนโลยี ชาวเกย์ก็ยังมีทางเลือกอื่น ได้แก่ การพูดคุย พบปะกันทางอินเทอร์เน็ตและแชทรูมต่างๆ เหล่านั้น เป็นทางออกสำหรับผู้ที่เก็บตัว และเบื่อสภาพในบาร์
สำหรับคลับและบาร์ในเมืองไทยนั้น ส่วนมากจะกระจุกและกระจายอยู่ ตามถนนสายสำคัญๆ ได้แก่ สีลม สุรวงศ์และสุขุมวิท ทว่าสีลมและสุรวงศ์นั้น มีสภาพความเป็นชุมชนมากกว่าแหล่งอื่น
ในแต่ละคืน ไม่เว้นแม้แต่วันทำงาน บนถนนสีลมซอย 2 ซอย 4 และซอยประตูชัย บนถนนสุรวงศ์จะพบกลุ่มผู้ชายจำนวนมาก ส่วนใหญ่ แต่งกายทันสมัย แต่มากกว่าครึ่งหนึ่งของคนเหล่านั้นเราจะพบแต่ชาวหนุ่ม ที่มีกิริยาอาการกระเดียดไปในแบบผู้หญิง
ถ้าเราจะจัดประเภทของบาร์เกย์ในเมืองไทย บาร์ต่างๆ อาจแบ่งประเภทได้เป็น เซาน่า อาบอบนวดผับและร้านอาหาร บาร์ดิสโก้ บาร์คาราโอเกะ และบาร์อะโกโก้ จำนวน ของบาร์เหล่านี้ มีสัดส่วนพอๆ กัน
สีลมซอย 2 ดูจะเสนอความหลากหลายมากกว่าที่อื่น สำหรับผู้ที่ชอบอะโกโก้และเซ็กซ์โชว์ ซอยประตูชัยดูจะเป็นแหล่งรวมความบันเทิงแหล่งใหญ่ ราคาเบียร์และเครื่องดื่มในบาร์อะโกโก้ดูจะแพงจนเกินเลยสัดส่วนของความหลากหลายของบาร์ในเมืองไทยนี้ ดูจะเป็นสิ่งที่หายากในสหรัฐ บาร์เกย์ส่วนใหญ่ในสหรัฐจะเป็นบาร์เบียร์ และบาร์ดิสโก้ แต่บาร์เบียร์ที่สหรัฐ มี แต่เมืองไทยไม่มี ก็คือบาร์ของแก๊งเสื้อหนังและลีวายส์ ซึ่งบางครั้งข้างหลังบาร์ดังกล่าว อาจมีการโชว์และการปฏิบัติการทางเพศแบบ S & M ด้วย
เมื่อเปรียบเทียบกับเมืองไทยแล้ว บาร์ในสหรัฐ มีความเป็นธุรกิจทางเพศน้อยมากบาร์จึงเป็นสถานที่สำหรับการพบปะสังสรรค์ หรือค้นหาคู่นอนได้โดยไม่ต้องเสียสตางค์ซื้อหามาถ้าเทียบกันแล้ว ค่าใช้จ่ายในการเที่ยวบาร์เกย์สหรัฐ อาจจะถูกกว่าในเมืองไทยเสียด้วยซ้ำโดยเฉพาะถ้านับรวมเซ็กซ์แบบได้เปล่า
ในบาร์เกย์ส่วนใหญ่ของไทย นักขายบริการทั้งมืออาชีพและที่ทำเป็นงานเสริมอิสระ มีอยู่อย่างคับคั่งราคาเริ่มตั้งแต่ 500-1,000 บาท ถ้าเจอฟรีแลนซ์ ก็โชคดีไม่ต้องเสียค่าออฟอีก 300 บาทแถมลูกค้าบางคนถ้าหล่อพอ เซ็กซ์ฟรีแลนซ์ที่รักอาชีพนี้ อาจะเกิดความพอใจคุณก็อาจมีเซ็กซ์แบบไม่ต้องเสียสตางค์
เด็กขายบริการหลายคนเป็นนักศึกษา เป็นเด็กต่างจังหวัด หลายคนเป็นเกย์ แต่หลายคนไม่ใช่หลายคนพอใจและรักอาชีพนี้ หลายคนจำใจทำ เพราะความจำเป็นทางเศรษฐกิจ มีบางคนทำเป็นอาชีพเสริมเพราะหาเงินผ่อนคอนโด อีกหลายคนหาได้ไม่พอกับค่าใช้จ่าย
ในขณะที่หลายคนอาจมีความเป็นอยู่ที่สุขสบายกว่าผู้ซื้อบริการบางคนเสียอีก โดยสังเกตจากนามบัตร โทรศัพท์มือถือคอมพิวเตอร์ เป็นแฟนรายการเอ็มทีวี และแต่งกายด้วยเสื้อผ้าราคาแพง
ในเรื่องของแฟชั่นนั้น ดูเหมือนเกย์จะเป็นผู้ที่มีรสนิยมอยู่ในชั้นแนวหน้า แฟชั่นทั้งญี่ปุ่น อเมริกันนับตั้งแต่ เวอร์ซาเช, เกส, ทอมมี เฮลฟิงเกอร์ ลักษณะการแต่งกายก็หลากหลาย บางคนอาจแต่งเป็นผู้หญิงบางคนอาจใส่แค่เสื้อหรือกางเกง ถือกระเป๋าให้ดูเป็นผู้หญิง พอเป็นเครื่องชี้แนะให้รู้ว่าเป็นกะเทย
อย่างไรก็ตาม เราอาจพบหลายคนแต่งตัวเหมือนนายแบบ ใส่เสื้อตัวเล็ก หรือโชว์กล้ามเนื้อเป็นมัดๆซึ่งบางครั้งคนทั่วไปไม่คาดคิดว่าเป็นเกย์ควีน

เลือกท่าให้เหมาะกับเจ้าโลก

Friday, December 12, 2008

This summary is not available. Please click here to view the post.

ผู้ชายคิดถึงเซ็กซ์ทุกๆ 5 นาที จริงหรือไม่?




แหม... ตอบยาก...บอกได้แค่...ผู้ชายทุกคนต้องเคยช่วยตัวเองแน่นอน ถ้าเคยเห็นใครที่บอกว่าเกิดมาไม่เคยช่วยตัวเอง รบกวนบอกผมด้วย อยากเจอ ทั้งนี้ก็เพราะการช่วยตัวเองของผู้ชายนั้น มันเกิดขึ้นได้ง่ายดายมาก ด้วยเงื่อนไข 2 ประการหลักๆ คือ วัตถุดิบ และสถานที่เท่านั้น
คำว่าวัตถุดิบก็หมายถึง ต้นแบบ เป้าหมาย สาวในจินตนาการ หรือคนที่ผู้ชายต้องการให้เป็นคู่ซ้อมในจินตนาการ ขณะที่ช่วยตัวเองนั่นแหละครับ ซึ่งอาจจะเป็นดารา นักร้อง คนรู้จักมักจี่ หรือคนที่เดินอยู่ตามถนนหนทางทั่วไปก็ได้ ไม่มีข้อจำกัด เนื่องจากมันเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหัวของผู้ชายเท่านั้น
ส่วนเรื่องของสถานที่ ยิ่งง่ายดายเข้าไปใหญ่ ไม่ใช่ว่าจะจำกัดเฉพาะในห้องน้ำ ห้องนอน หรือที่ลับตาคนเท่านั้น จึงจะเหมาะกับการช่วยตัวเอง ดังนั้น ในบางครั้งอาจจะเลยเถิดไปสักนิด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติถึงขั้นโรคจิต วิปริต วิตถาร แต่ประการใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กๆ ที่เพิ่งรู้จักและตื่นเต้นกับการช่วยตัวเองใหม่ๆ ไม่ใช่เรื่องแปลก
และอย่าตกใจ ถ้าจะบอกว่ามีเด็กไม่น้อยที่เคยช่วยตัวเองในห้อง เรียน โดยมีอาจารย์ที่กำลังเขียนกระดานอยู่หน้าห้องเป็นคู่ซ้อมในจินตนาการ หรือบางทีเพื่อนร่วมงานที่น่ารักของคุณ ซึ่งมักจะแวะ เวียนมาทักทายเป็นประจำก่อนเข้าห้องน้ำ เพราะโต๊ะทำงานคุณเป็นทางผ่าน แต่นั่นกลับเป็นความตั้งใจของเขาที่แวะมาจดจำหน้าตา ท่าทาง และกลิ่นหอมของคุณไว้จินตนาการในตอนช่วยตัวเองในห้องน้ำบริษัท ตอนขากลับบ้าน ชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ คุณบนรถตู้ หรือลุกขึ้นยืนเพื่อดูคุณนั่งแทนที่บนรถเมล์ อาจจะหนีบขาบิดเอวไปมา ระหว่างนึกภาพฝันไปว่ากำลังร่วมรักกับคุณอยู่ ก่อนที่จะกลับไปสะสางต่อให้เสร็จที่บ้าน แม้แต่ลูกชายของคุณ ที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์หน้าดารา-บันเทิง ต่อด้วยการนั่งชมละครน้ำเน่าเป็นเพื่อนคุณก่อนเข้านอน จะจดจำภาพของตัวอิจฉาสุดเซ็กซี่ไปเป็นวัตถุดิบในการช่วยตัวเองในตอนอาบน้ำ
ไม่เว้นแม้แต่พ่อสามีตัวดี ที่มักจะแอบเล่นอินเตอร์เน็ตเพื่อดูคลิปโป๊ และโหลดหนังลามกมาดูเพื่อช่วยตัวเองระหว่างที่คุณหลับ ยังไม่นับเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำ ลูกน้องตัวแสบ มอเตอร์ไซค์วิน เพื่อนสนิท หรือคนใกล้และไกลตัวคุณอีกมากมาย ซึ่งเป็นผู้ชายที่‘ต้อง’มีวัตถุดิบในการช่วยตัวเอง ซึ่งอาจจะเป็นคุณ อาจจะเป็นใคร อาจจะเป็นดารา ดนดัง หรือสาวสวยในสเปกคนไหนก็ได้ มีสิทธิ์ถูกใช้เป็นเป้าหมายกันทุกคน นอกเหนือไปจากนี้แล้ว ยังมีวิธีการใช้ตัวช่วยแปลกๆ เช่น ดมผ้าเช็ดหน้า(ของสาวๆ) เสื้อคลุมเพื่อเสริมจินตนาการ มองรูปถ่ายไว้ประกอบการนึกภาพ ใช้อุปกรณ์พิเศษแบบที่ต้องหาซื้อหรือทำได้เอง ยกตัวอย่างเช่น จิ๋มกระป๋อง เนื้อหมูเจาะรู และอื่นๆ อีกมากมายที่ขอยกยอดไว้เล่าคราวต่อไป ในโอกาสอันเหมาะสม
จะเห็นได้ว่า การช่วย-ตัวเองของผู้ชายเกิดขึ้นได้ง่ายดาย และไม่ลำบากยากเย็น ดังนั้น ความ ถี่ของมันก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของแต่ละคน ตามที่ได้เกริ่นไปแล้วว่า ผู้ชายมีความตื่น-เต้นในเรื่องนี้ไม่เท่ากัน อย่างถ้าเป็นเด็กๆ ยังอ่อนต่อโลก พบเจออะไรก็ตื่นตัวได้โดยไม่ต้องมีสิ่งเร้ามากมาย ก็อาจจะทำสถิติไปถึงวันละ 5 ครั้ง 12 ครั้งได้อย่างไม่น่าแปลกใจ เพราะเด็กวัยนี้จะเน้นเรื่องปริมาณมากกว่าคุณภาพ แต่หากโตเป็นผู้ใหญ่แล้วยังคงความถี่จำนวนเท่านี้อยู่ก็ไม่น่าจะไหว เพราะต้องทำงาน ทำอะไรมากมาย ค่าเฉลี่ยก็อาจจะตกอยู่ที่วันละครั้ง หรือสองสามวันครั้ง แต่อาจจะมีบางวันที่เป็นโอกาสพิเศษ ก็จัดไป 2-3 ครั้ง แล้วแต่กรณี ส่วนที่มีแฟน หรือไม่ค่อยซีเรียสเรื่องพวกนี้ ไล่เรื่อยไปจนถึงบรรดาคนบ้างาน หรือมีกิจกรรมทำมากมาย การช่วยตัวเองก็จะห่างออกไปเป็น 3-7 วันต่อครั้ง เป็นต้น
ที่มาเล่าสู่กันฟังก็เพียงเพราะอยากจะบอกให้เข้าใจว่า ผู้ชายคิดถึงเซ็กซ์วันละกี่ครั้งนั้นเป็นเรื่องธรรมดา และการหาวัตถุดิบมาเสริมจินตนาการก็เป็นเรื่องปกติ ตราบใดที่มันยังอยู่แค่ในหัว ไม่รั่วไหลออกมาเป็นพฤติกรรมอุจาด ไปจนถึงขั้นอุบาทว์ เรื่องธรรมชาติของผู้ชาย พอได้ผ่อนคลายสบายตัว ก็หมดเรื่อง จบกันไป รอรอบใหม่ในอีก 5 นาทีต่อไปยังไงล่ะ!

นักร้องอมนกเขา แหลสุดโต่งแอบอึ๊บ ‘พิธีกร’ หมาเน่า



รักแท้ไม่มีในหมู่โจร ใกล้เทศกาลปีใหม่อีกแล้ว ใครที่ยังไม่มีโปรแกรมไปเที่ยวไหน ก็เตรียมจัดแจงเก็บเสื้อผ้าไปพักผ่อนกันได้เลย ปีนี้ได้หยุดยาวกันหลายวัน ถือว่าอย่างน้อยจะได้ชาร์ตแบตกัน มันส์สุดลิ่ม เสียที แต่ก่อนที่จะหยุดพักผ่อนยาว ขยับเข้ามาอัพเดทเรื่องคาวๆ ของคนในวงการบันเทิงกันเหมือนเคยดีกว่า จะได้ไม่ตกยุค คราวนี้ นังชะนีหน้าดำ ได้มีโอกาสไป คลุกวงในกับแวดวงศิลปินนักร้องของค่ายยักษ์ใหญ่กันบ้าง แล้วเรื่องชั่ว กลิ่นตุๆ โชยมา เข้าหูจนได้ ถึงคิวของ นักร้องชะนีเสียงทรงพลัง ที่เคยโด่งดังมาจากเพลงเชือดเฉือนอารมณ์สะเทือนความรู้สึก เล่นเอาสาวน้อยสาวใหญ่อินจัดร้องห่มร้องไห้กับเพลงของเธอ ส่งให้เพลงฮิตกันทั้งบ้านทั้งเมือง เพลงดังส่งผลให้นักร้องมีชื่อเสียงคุ้นหูไปด้วย แต่หน้าตาของชีกลับ บัดสีบัดเถลิง ยิ่งนัก มันช่าง บ้านนอกคอกนา อย่าบอกใคร แต่ถึงหน้าเน่าแค่ไหนก็ดังกับเขาได้เหมือนกัน


ถึงแม้จะ หน้าตาปลาร้าสับ แค่ไหน ยังไงชีก็ได้ ฟาดนักร้องร่วมค่าย มาแล้วนับไม่ถ้วน เพราะอาศัยคารมกับความกล้า หน้าหนา เข้าตีสนิทผู้ชายร่วมค่าย ทำให้ ชี กลายเป็นที่ ระบายความใคร่ ของเพื่อนศิลปินคนอื่นๆ นั่นมันเป็นงานถนัดของชี เกิดมามีรูเป็นทรัพย์ก็ต้องใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่า แล้ว นักร้องชะนีเสียงทรงพลัง ก็เริ่มเข้าสู่วังวน งาบผู้ชาย ตามรอยนักร้องชะนีรุ่นพี่ร่วมค่าย กินเงียบๆ ก็ไม่มีใครว่าหรอก แต่นี่ ชี เล่นป่าวประกาศให้คนทั้งประเทศรู้ว่า ชี แอบกิ๊กกับ นักดนตรี กลุ่มชื่อ วงโตๆ มันส์ๆ ถึงขั้นไป สวิงกิ้ง กันริมทะเลอย่างสนุกสนาน ‘ด็อกเตอร์เห็ด’ เห็นแล้วก็ตกใจที่เห็นภาพบาดตาบาดใจนึกว่า ปลิงผสมพันธุ์ กันริมทะเลซะอีก แต่ทั้งคู่ก็คบหาดูใจกันได้แป๊บเดียว เพราะฝ่ายชายคนพฤติกรรม ความหงี่ ของ นักร้องชะนี ไม่ไหว สุดท้ายก็ใส่คอนเวิร์สทางใครทางมัน แต่ นักร้องชะนี ก็ไม่สะทกสะท้าน เพราะ ชี มีผู้ชายคนใหม่ดามอกทันเวลา คราวนี้เป็นถึง นักร้องขวัญใจวัยโจ๋ เจ้าของเสียงตะเบ็ง ผีเน่า มันมักจะคู่กับ โลงผุ สงสัยคำกล่าวนี้คงจะจริงซะแล้ว หลังจากนั้น นักร้องชะนี กับ นักร้องเสียงตะเบ็ง ก็เล่น เขมรแทงกบ กันอย่างสนุกสนาน ขนาดเพื่อนร่วมวงยัง แอบดู เหตุการณ์ระทึกขวัญ บนเตียง ของคู่นี้เป็นประจำ พอได้มีโอกาสไปแสดงคอนเสิร์ตต่างจังหวัดทีไรเพื่อนๆ ก็พลอยได้ ดูหนังสด แบบมันส์หยดติ๋งกันเลยทีเดียว ระหว่างที่ทั้งคู่รักกันอย่างหวานชื่นอยู่นั้น นักร้องชะนี ก็เริ่มเบื่อ น้ำพริกถ้วยเก่า เพราะเอากันทีไร ก็มีแต่ท่าเดิมๆ จืดสนิทไม่มีอะไรตื่นเต้นกระตุกต่อมเสียว อีกเลย


จากนั้น ชี ก็ได้มีโอกาสไปขึ้นเวทีคอนเสิร์ตเวทีหนึ่ง แล้วบังเอิญได้ป๊ะกับ พิธีกรหมาเน่า เจ้าของเสียงกวนๆ เจอกันไม่ทันไร ทั้งคู่ก็ทำการแลกเบอร์โทรกันเลย คืนนั้นก็นัดกันไปกิน ข้าวต้มรอบดึก ทันที โดยที่ไม่มีใครรู้ว่า นักร้องชะนี กับ พิธีกรหมาเน่า ไป อึ้บ กันที่ไหน แต่ นังชะนีหน้าดำ แอบกระซิบบอกว่า เอากันที่ห้องอัดเสียง ณ ตึกใหญ่ใจกลางเมือง แล้วฝ่ายชายเอา เรื่องบี้ในห้องอัด ไปเม้าท์สาธยายให้กลุ่มเพื่อนพ้องในวงเหล้าฟังอย่างสนุกสนานว่า วันก่อนได้อึ้บกับ นักร้องชะนี รายนี้มันมีท่าไม้ตายคือ ท่าอมนกเขา ที่เด็ดดวงอย่าบอกใคร ผู้ชายหน้าไหนที่เจอท่านี้เข้าไปมีหวังติดใจกันทุกราย แหม...เกิดเป็นสาวเป็นแซ่ แต่ดัน ช่ำชอง เรื่องพรรค์นี้ ส่งผลให้ตกเป็น ขี้ปาก ของพวกผู้ชายที่เคยหลับนอนกับชี ทั้งคู่ ขึ้นขี่ กันไม่กี่น้ำ เพราะฝ่ายชายมีหวานใจตัวจริงคอยตามประกบไม่ให้คลาดสายตาจะ ลักลอบ ได้กันแต่ละทีมันแสนลำบากยากเย็น ส่วน นักร้องชะนี ก็ยังมี ปั๋วค้ำคอ อยู่ทั้งคน จะให้เลิกก็คงจะไม่ได้ สุดท้ายเลยต้องโบกมือลากับ กิ๊กขาจร ไปอย่างน่าเสียดาย เข้าตำรา ถ้า ปั๋วเผลอ แล้วค่อยเจอกัน แหม...นังชะนีหน้าดำ ช่างเอาเรื่องลับเฉพาะมาให้ได้รับรู้กัน มีหวังถ้าเจ้าตัวรู้เข้า ไม่รู้ว่าจะ โดนกระทืบ หรือเปล่า ขืนถ้าเรื่องนี้รู้เข้าหู นักร้องเสียงตะเบ็ง มีหวัง นักร้องชะนี คงจะโดนเฉ่งชุดใหญ่ เพราะได้ข่าวว่า ผู้ชายก็ขี้หึงสุดๆ อย่างว่า มีเมียสวยระดับ นางงามป่าช้าแตก ก็คงต้องหึงเป็นเรื่องธรรมดา ความร่านมันหยุดไม่อยู่จริงๆ

เมียน้อย2008



ถูก "หวย" กันมั้ยคะ คุณขา.. ที่ถามอย่างนี้ก็เพราะวันนี้(ที่ปิดต้นฉบับ) ตรงกับวันหวยออกพอดิบพอดี เฮ้อ...บรรดาญาติโยม หน้าเหี่ยวไปตามๆ กัลล์ ไม่บอกก็รู้ว่า โดน.. รับประทานไปตามระเบียบ รวมทั้งธิดาซาตาน ก็ไม่เว้น อิอิ ที่เดินทางดั้นด้นไปขูด ไปขัด ไปหา สำนักใด ต้นไม้ต้นไหน เค้าว่าแม่น ก็ไม่เข้าวินสักตัว เซ็งเป็ด!!ทีเรื่องบนเตียงเรื่องนี้ละแม้นแม่น ก็เรื่องยัยนักร้องตกเวที "ชะนีไม้เสียบผี" กับวีรกรรม-วีรกาม ชอบหายใจรดต้นคอผัว.. เอิ่ม..สามีชาวบ้านนั่นยังไงดูรึ เดี๊ยนอุตส่าห์เปิดประเด็นนิยายรักสะท้านเสาเรือนสะเทือนเตียง "เสียงประหารตามสาย" ไปเมื่อคราวก่อน นึกว่าเจ้าหล่อนจะหยุด เลิกข้องแวะกับสามี "คุณพี่จ๊ะจ๋า" ให้เป็นกาลกิณี นี่มันเอาอีกแระ งั้นเดี๊ยนก็เลยต้องมีนิยายสะท้านเสาเรือนสะเทือนเตียง ภาค 2 มาฝาก "เมียน้อย 2008"


ความเดิมเมื่อตอนที่โดนด่าจนนึกว่าจะเข็ดขี้เข็ดเยี่ยว แต่ความเป็นจริงแล้วหาไม่ทนทานไม่มีใครเกินจริงๆ ถ้าเป็น เจอครกทุ่ม สากบิน She ไม่สะท้านสะเทือนเห็นหน้าระรื่นบานทะโร่ อีตอนแหก...ขากลับมาจาก "ห้องกรง" อ๊าย... ฮ่องกง แล้วววว.. อยากไปเหมาครก ที่อ่างศิลาชลบุรีมาให้คุณพี่จ๊ะจ๋าของเดี๊ยนนัก ว่าตัวเองเป็นชะนีหน้ามึนแล้วนะคะ แต่พอพูดใครเตือนก็ยังฟัง ขนาดจิ้งจกทักก็ยังต้องกลับหลังหันไปฟัง ทบทวน แต่อีนังคนนี้ นอกจากมันจะทำเป็นหูทวนลม พูดกรอกหูซ้าย ทะลุออกหูขวาแทบไม่ทันแล้ว ยังแน่นิ่ง ไม่สนใจ ไม่ใส่จิ้ว โดยสิ้นเชิง เชิดๆ เริดๆ ตามรันเวย์ "เมียพี่เผลอแล้วค่อยมาเจอน้อง" เหมือนเดิมเดี๊ยนว่า..ชาติปางก่อน นอกจากจะสืบสันดานเป็น "แมวขโมย" มาเกิดแล้ว หล่อน คงเป็นแชมป์ "ปีนต้นงิ้ว" อีกหนึ่งตำแหน่งเป็นแน่ ถึงได้ดื้อด้าน ทนทาน ไม่อินังขังขอบ ทุกข์ร้อนของผู้หญิงด้วยกัน ได้ปานนี้


ขนาดคุณพี่เมียหลวง ให้เกียรติ ลดตัวลงไปสนทนาวิสาสะ ด้วยความเกรงใจ ขอให้เลิกกับผัวกรูเสียแต่บัดเดี๋ยวนี้ ก็ไม่ยอมเลิก นี่คงจะยึดถือคตินำพาชีวิตที่ว่า... "ด้านได้ อาย..กรูก็อด" แน่แท้กระทำการย่ำยีบีทา อุจจาระรดหัวใจ "คนบ้านใหญ่" แล้ว ยังระรื่นตอบคำถาม ชาวบ้านบิดไปเบี้ยวมาว่า "คุณพี่(ผัวชาวบ้าน)เค้าเป็นคนน่ารักมาก อยู่ด้วยแล้วอบอุ่น ถึงหน้าจะแก๊ส (แก่)ยังไง ก็ยังมีไฟล้น" เจ้าหล่อนว่า แต่ครั้นพอถูกถามย้ำว่าแล้วสรุปเมิงเป็นไรกับผัวชาวบ้าน.. ดันไม่กล้ายอมรับ ฟังแล้วปวดตับเป็นบ้าแถมเวลาเจอจังๆ ยัยนักร้องไม้เสียบผี ก็เอาแต่วิ่งป่าราบหนีนักข่าว ไม่กล้าต่อปาก ที่เห็นออกมาระรื่นเป็นเห็ดหน้าฝนนี้ คงจะได้รับ "น้ำดี" ถึงได้มีแรงฮึดสู้ ตั้งหลักต่อกรประมือกับคุณพี่จ๊ะจ๋า คนบ้านใหญ่ ผู้น่าสงสาร


เอาล่ะ เมื่อหล่อน ตั้งมั่นและจริงจังกับเส้นทางสายโลกีย์ ชื่นใจที่ถูกชาวบ้านสรรเสริญเยินยอว่า "เมียน้อย" ขนาดนี้ เมียหลวงอย่างเดี๊ยนเอง ที่แม้จะเข้าถึงหัวจิตหัวใจของบ้านใหญ่อย่างคุณพี่จ๊ะจ๋า ที่ต้องหน้าชื่นอกตรมสืบต่อไปอย่างไม่รู้อนาคต ก้มหน้าเลี้ยงลูก พร้อมๆ กับคอยเงี่ยหู ฟังเสียงชาวบ้านนินทาเรื่องผัวไม่รักดี ถึงจะโมโหแต่ก็คงไม่กล้าขวางลำ--เพราะกลัวลาโลกก่อนจะเหี่ยว!!โปรดอ่านอีกครั้ง!! นิยายเรื่องนี้ ได้แรงบันดาลใจจากบทประพันธ์ "เมียหลวง" ของยอดนักเขียนในดวงใจ "กฤษณา อโศกสิน" ไม่ใช่เรื่องจริงและไม่ใช่ชีวิตจริงของใคร--จริงจริ๊ง

ตบ"มาริโอ้"หัวทิ่มในผับ



ลือกันให้สนั่นในหมู่นักท่องราตรีย่านทองหล่อ


ว่าพระเอกดาวรุ่งขวัญใจสาวๆ ทุกรุ่น"มาริโอ้ เมาเร่อ" ที่พกพาความหล่อที่สาวๆ เห็นแล้วต้องกรี๊ดมองเหลียวหลังกันเลย ซึ่งหนุ่มโอ้ไปพักผ่อนหย่อนใจกับกลุ่มเพื่อนแถวนั้น



โดยแหล่งข่าวเล่าว่า ขณะที่หนุ่มโอ้ กําลังเฮฮาปาร์ตี้กับเพื่อน ก็มีสาวๆ แวะเวียนมากรี๊ดกร๊าดให้กับหนุ่มโอ้เป็นระยะๆ ทําเอาหนุ่มๆ คนอื่นออกอาการเซ็ง เพราะสาวๆ ต่างหันมาให้ความสนใจกับหนุ่มโอ้กันทั้งผับ



แล้วจู่ๆ ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินไปตบหัวตบหน้าหนุ่มโอ้ แล้วก็เดินจากไป ทําเอาผู้คนงงว่า เกิดอะไรขึ้น ซึ่งแหล่งข่าวสันนิษฐานว่า ชายหนุ่มที่เดินมาตบหนุ่มโอ้น่าจะทําเพราะความหมั่นไส้รึเปล่า



มีข่าวลือออกมาแบบนี้ ทางดาราเดลี่จึงติดต่อไปยัง "โกโก้" ผู้จัด การส่วนตัวของหนุ่มโอ้ เพื่อสอบถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริงของข่าวลือหนนี้ซึ่งได้คําตอบว่า



"ข่าวลือไม่เป็นความจริง ถามโอ้แล้ว โอ้ก็บอกว่าเขาไม่ได้ไปเที่ยว เพราะเขาไม่ใช่คนเที่ยวกลางคืนอยู่แล้ว และเท่าที่รู้จักกับโอ้มา ก็เห็นว่าเขาเป็นคนที่ไม่ชอบเที่ยวกลางคืน และก็ไม่ใช่คนที่พูดโกหก เป็นคนที่พูดตรงๆ ถ้าทําเขาก็บอกว่าเขาทํา ถ้าไม่ใช่ก็บอกไม่ใช่



คิดว่าถ้ามีเรื่องซีเรียสแบบนี้เกิดขึ้นจริง เขาก็น่าจะเล่าให้ฟัง แต่นี่ไม่มี และดูจากหน้าตา ร่างกายของโอ้ ก็ไม่เห็นมีร่องรอยการต่อสู้ การถูกทําร้ายอะไรเลย น่าจะเป็นข่าวมั่วซะมากกว่า"

ความหลากหลายทางเพศกับหนุ่มอังกฤษคนนั้น

Sunday, December 7, 2008


น้อยคนนักจะรู้จักบุรุษชาวอังกฤษผู้นี้ กระทั่งคนอังกฤษเองในปัจจุบันนี้ก็เถอะ ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ “ปีเตอร์ ไวล์ดบลัด” (Peter Wildeblood) คงเป็นชายชราวัย 85 ที่มีความสุขที่สุดในโลก
เขาเป็นผู้ชายคนแรกๆ ในประวัติศาสตร์ด้านสิทธิมนุษยชนของเมืองผู้ดีก็ว่าได้ที่ “เลิกแอบ” ต่อหน้าสาธารณชน เขาเป็นคนที่ถูกคนรักทรยศ แต่กลับยืนขึ้นเชิดหน้า และใช้ชีวิตที่เหลืออย่างกล้าหาญสง่างาม ปีเตอร์ ไวล์ดบลัด คือ “โฮโมเซ็กช่วล” แห่งเกาะอังกฤษที่ชีวิตเปิดเผยของเขากลายเป็นใบเบิกทาง ช่วยให้อีกหลายๆ ชีวิตผ่านพ้นคุกตารางด้วยข้อหารักเพศเดียวกัน
ราวทศวรรษที่ 1950 ในประเทศนี้ ชายสองคนจะมีเซ็กซ์กันไม่ได้ และถ้าโดนตำรวจจับ จะต้องไปขึ้นศาล ยืนให้การ ตอบคำถามต่างๆ นานา รวมไปถึง “ทำอะไรกันบ้างบนเตียง” และส่วนใหญ่มักจะไม่รอด ต้องเข้าไปนอนในคุก ปีเตอร์ ไวล์ดบลัด ก็เป็นคนหนึ่งในนั้น
ปีเตอร์ (ภาพจากหนังด้านบน คนที่สองจากหน้าจอ) ทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์หนุ่มที่กำลังรุ่งแห่งหนังสือพิมพ์เดลิเมล์ตอนโดนตำรวจจับ พ่อกับแม่ภูมิใจมากในตัวเขา เพื่อนๆ ที่ทำงานต่างรักเขา และเชื่อในฝีมือ หัวหน้างานชื่นชมความสามารถของเขา ทุกๆ คนช็อคที่รู้ความจริง
ย้อนกลับไปในวัยเด็ก จริงๆ แล้ว เขาเกิดที่อิตาลี แต่ย้ายมาอยู่ลอนดอนตอนอายุสามขวบ ช่วงเรียนหนังสือก็ได้ทุนเรียนดีตลอด ได้ไปเรียนต่อที่อ็อกฟอร์ด แต่โชคร้าย หนุ่มน้อยเกิดป่วยหนัก จนต้องขอลาเรียนชั่วคราวหลังจากเปิดเรียนไปแค่ 11 วัน พอหายป่วยดีแล้ว เป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เขาเลยไปเป็นนักบิน ด้วยเหตุที่เขาขับเครื่องบินไม่เก่ง หรืออาจจะมีสาเหตุอื่น เลยโดนย้ายมาประจำการในตำแหน่งเล็กๆ ภาคพื้นดิน กระทั่งสงครามโลกสิ้นสุดลง
ปีเตอร์กลับไปเรียนต่อที่อ็อกฟอร์ดสองปี ขณะที่ข้าวยากหมากแพง เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นจากสงคราม จบอ็อกฟอร์ดแล้ว ก็พยายามหางานทำ แต่ก็ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เลยไปเป็นพนักงานเสิร์ฟอาหาร
ช่วงเวลาว่าง เขาหมั่นเพียรเขียนบทความ เขียนเรื่องราวส่งนิตยสาร รวมถึงเขียนบทละคร ต่อมาเขาได้ทำงานกับเดลิเมล์ เริ่มต้นด้วยรายงานข่าวซุบซิบต่างๆ ตรงจุดนั้นเอง เขาได้พบกับคนดังประจำวงการไฮโซของอังกฤษที่ชื่อว่า “ลอร์ด ม็องตะกู” (Lord Montagu)
ปีเตอร์ได้รับมอบหมายให้รายงานข่าวเกี่ยวกับงานราชพิธีหลังจากพระเจ้าจอร์จที่ 6 (พระราชบิดาของควีนอลิซาเบธ องค์ปัจจุบัน) เสด็จสวรรคต ในปี 1953 เขาได้รับการโปรโมทเป็นว่าที่ผู้สื่อข่าวสายการต่างประเทศ
ในหนังสารคดี-ดราม่าเรื่องดังเรื่องหนึ่งทางทีวีของบีบีซี ออกฉายในปี 2007 ถ้าคุณผู้อ่านได้เห็นเหตุการณ์ในนั้น จะต้องถามตัวเองว่า อะไรวะ! นอนอยู่กับแฟนบนเตียงดีๆ ก็จะมีตำรวจมาเคาะประตูบ้าน แล้วลากออกไปจากเตียง ส่งฟ้อง ขึ้นศาล แล้วก็โดนจับยัดเข้าคุก นี่มันเรื่องจริงเหรอเนี่ย?
ก่อนนั่งดูหนังเรื่องนี้ ผมก็ได้แค่อ่าน และรับรู้ตามหนังสือ ตามข่าว เห็นบ้างบางฉากในหนัง หรือสารคดีที่พูดถึงการกวาดล้างและกำจัด โฮโมเซ็กช่วลออกไปในสังคม ไม่ว่าจะด้วยการเอากฎหมายและกฎหมู่เข้าบังคับ แต่ไม่เคยรู้สึก แต่พอมาดูหนังทีวีเรื่องนี้ คงไม่ใช่เพราะนักแสดงที่รับบท ปีเตอร์ ไวล์ดบลัด (Marin Hutson) ที่หล่อน่ารักหรอก เป็นเพราะเนื้อเรื่อง การนำเสนอภาพ ตัดสลับระหว่างเหตุการณ์ในชีวิตของปีเตอร์ กับการประชุมของคณะกรรมการที่ทำเรื่องเสนอให้แก้กฎหมาย มันสะเทือนใจมากๆ
ในยุค 1950 คนเป็นโฮโมเซ็กช่วล ในอังกฤษต้องหลบๆ ซ่อนๆ (สมัยนั้นยังไม่ได้เรียกว่า เกย์) มีผับ มีที่เที่ยว มีคลับส่วนตัว มีการสื่อภาษาที่รู้กันเฉพาะในหมู่ แต่จะเหมือนใช้ชีวิตอยู่ในโลกใต้ดิน ซึ่งบางคนก็สนุกสนานไปกับชีวิตแบบนี้ มีความเป็นส่วนตัวดี แต่ขณะเดียวกัน ต้องถามว่า แล้วคุณภาพชีวิตที่ดีคืออะไร จะรักใครชอบใคร ต้องคอยปิดบังไว้ และลึกๆ ทุกคนใช้ชีวิตอยู่บนความหวาดกลัว โดยเฉพาะกลัวกฎหมายบ้านเมืองที่บอกว่า การมีเซ็กซ์ระหว่างเพศเดียวกัน เป็นเรื่องผิดกฎหมาย น่าแปลกนะครับ ในยุคนี้ หลายๆ ประเทศ อย่างบ้านเรา ไม่มีกฎหมายกดขี่มนุษย์แบบนั้น แต่เราหลายๆ คนก็ยังคงต้องขังตัวเองอยู่
สำหรับปีเตอร์แล้ว ถึงแม้เขาจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่ชีวิตส่วนตัวของเขา กลับอ้างว้างเดียวดาย วันหนึ่ง เขาไปพบกับหนุ่มหล่อคนหนึ่งที่สถานีรถไฟ “เอ็ดเวิร์ด” ทำงานรับราชการอยู่ ทั้งสองปิ๊งทันที เหมือน “หากันจนเจอ” ปีเตอร์ก็เลยชวนเอ็ดเวิร์ดไปพักที่บ้านซะเลย
ความจริงก็เสี่ยงนะครับ ใครจะรู้ เอ็ดเวิร์ดอาจเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบปลอมตัวมาก็ได้ มุกนี้ในยุคนั้นใช้บ่อยเพื่อ “กวาดล้างเหล่าโฮโม” บางครั้ง ในห้องน้ำแหล่งที่มีการรายงานเป็นประจำว่า มีการปฏิบัติกิจ ตำรวจก็จะแกล้งให้ท่า พอได้ที ก็เข้าแสดงตัว ล็อคขึ้นโรงพักเลย
นึกไม่ออกเลยละครับว่า ถ้าตำรวจปฏิบัติการอย่างนี้ในเมืองไทย เกย์ไทยจะเป็นยังไง แล้วเกย์ไทยในห้องน้ำต่างๆ จะเป็นยังไง ย่านไหนในกทม น่าจะเดือดร้อนที่สุด คงไม่ต้องบอก คนนะครับ ไม่ใช่ “วัวควาย” ต้องไปตามจับ แล้วลากออกมา
ความสัมพันธ์ของปีเตอร์กับเอ็ดเวิร์ดงอกงามขึ้น เขาแสดงความรักต่อกันอย่างหวานซึ้ง เขียนจดหมายให้กัน ฟังแล้วแทบละลาย เอ็ดเวิร์ด เดินทางไปกลับ และเข้าเมืองตอนช่วงวันหยุดเสมอเพื่อมาค้างอ้างแรมกับปีเตอร์ ต่อมาทัั้งสองได้รับเชิญจากคนดังไฮโซ ลอร์ดม็องตะกู ให้ไปพักผ่อนที่บ้านพักริมทะเล
รัฐเริ่มออกกวาดล้างอย่างหนัก โดยเฉพาะคนในเครื่องแบบ เอ็ดเวิร์ดถูกค้นจดหมาย และถูกสอบสวนในเวลาต่อมา ทั้งที่ก่อนหน้าปีเตอร์บอกให้เขาเผาจดหมายทั้งหมดทิ้ง เอ็ดเวิร์ดถูกขู่บังคับให้บอกรายชื่อคนที่เขารู้ว่าเป็นเกย์ พร้อมทั้่งยินยอมให้การว่า มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกัน ตำรวจไปบุกค้นบ้านปีเตอร์เพื่อหาหลักฐาน ในที่สุด ก็เจอจดหมายรักที่ปีเตอร์ซ่อนไว้ ปีเตอร์ไม่เคยเผาจดหมายนั่นเช่นกัน
คนทั้งหมดที่เกี่ยวข้องโดนจับ ตั้งข้อกล่าวหา และขึ้นศาล เป็นที่เรียกกันในยุคนั้นว่า “เดอะ ม็องตะกู เคส” เรียกได้ว่า ดุเด็ดเผ็ดมัน ประชาชนเกาะติดสถานการณ์ทุกขณะ อัยการฝ่ายรัฐพยายามคาดคั้นให้จำเลยพูดความจริง จำเลยก็พยายามบ่ายเบี่ยง เอ็ดเวิร์ดเล่าความจริงทุกอย่าง ต้องบอกว่า คนดูต้องเศร้าไปกับเรื่องราวทั้งหมด ลองคิดดูสิครับ คนที่เราเคยบอกรัก รอคอยให้เขากลับมาหาแทบทุกลมหายใจ ตอนนี้ กำลังจะเอาตัวรอด และกล่าวโทษเราฝ่ายเดียว ในที่สุดปีเตอร์ตัดสินใจพูดความจริง ความจริงที่สั่นสะเทือนประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของอังกฤษ “ผมเป็นโฮโมเซ็กช่วล”เขาถูกศาลสั่งจำคุก 18 เดือน
พอออกจากคุก เขาก็เสียงานที่รักไป ส่วนเอ็ดเวิร์ดหายไปไหนก็ไม่รู้ ปีเตอร์ออกมาทำธุรกิจเล็กๆ และได้เริ่มเขียนหนังสือชื่อ “Against the Law” คงเริ่มเขียนตั้งแต่อยู่ในคุก และเป็นหนังสือที่มีการถกเถียงกันมากที่สุดยุคนั้น
ในช่วงเวลานั้นเองทางการได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งมีประธานชื่อ เซอร์จอห์น โวลเฟนเดน (Sir John Wolfenden) เพื่อพิจารณาเรื่องราวเกี่ยวกับหญิงขายบริการทางเพศ และโฮโมเซ็กช่วล ในหนัง เราจะเห็นท่านเซอร์ เรียกคนโน้น คนนี้มาให้ข้อมูล ทั้งหมด นายทหาร บุคคลที่มีชื่อเสียงในวงสังคม แต่ในที่สุดคณะกรรมการก็มองหน้ากันแล้วถามกันเองว่า นี่เราจะไม่มีโฮโมเซ็กช่วลหน้าไหนมาให้ข้อมูลเหรอ (จริงๆ แล้วกรรมการชุดนี้รู้สึกกระอักกระอ่วนมาก กระทั่งจะเรียกโสเภณีและโฮโมฯ ก็ไม่ใช้ แต่จะตั้งเป็นอีกชื่อที่รู้กันแทน ภายหลังพบว่า ลูกชายของท่านเซอร์ก็เป็นเกย์)
นึกไปนึกมา คงไม่มีใครกล้ามาให้ข้อมูล เลยเปิดทางว่า งั้นใครมาก็ได้ มาแบบนิรนาม ไม่ต้องเปิดเผยอะไร แต่แล้ว ปีเตอร์ก็ตัดสินใจเป็นคนๆ นั้นเอง แต่เขายืนยันว่า เขาต้องการเปิดเผยตัว และมาให้เห็นตัวเป็นๆ กันเลย ช็อตนี้ละครับ ผมคิดว่า เป็นชัยชนะของปีเตอร์ ไวล์ดบลัดอย่างแท้จริง
หนังสือของเขา เรื่องราวของเขาตอนศาลตัดสินจำคุก และคำให้การของเขาต่อหน้าคณะกรรมการส่งผลให้รัฐหันมามองกฎหมายล้าหลังเกี่ยวกับโฮโมเซ็กช่วลอย่างจริงจัง และต่อมามีการยกเลิกกฎหมายนี้โดยระบุว่า คนเพศเดียวกันมีเพศสัมพันธ์กันในที่ส่วนตัว สมยอมทั้งสองฝ่าย ไม่ถือว่า ผิดกฎหมายอีกต่อไป
ปีเตอร์เสียชีวิตลงเมื่ออายุ 76 หลังจากเขาย้ายไปเป็นพลเมืองของประเทศแคนาดา และเป็นบุคคลมีชื่อเสียงในวงการโทรทัศน์ หนังสารคดีกึ่งดราม่าเรื่องราวชีวิตของเขาชื่อ “A Very Britsh Sex Scandal” เป็นหนึ่งในสารคดีและรายการโทรทัศน์หลายเรื่อง เป็นซีรี่ย์ที่สร้างขึ้นพิเศษพูดถึงความเปลี่ยนเชิงสังคม กฎหมายและการใช้ชีวิตของคนรักเพศเดียวกันในอังกฤษ น่าดูมากๆ ครับ

ผม ไบ รับ


เดาว่า น่าจะเป็นผู้หญิงญี่ปุ่น เห็นหน้าขาวผ่องเป็นยองใย แล้วพนักงานก็พาพวกหล่อนนั่งลงตรงโซฟาถัดจากโต๊ะของผมกับเพื่อนไป นารีทั้งสี่ไม่ได้แสดงสีหน้า ตกตื่นอะไรกับความอะร้าอร่ามที่นักแสดงอะโกโก้คนหนึ่งเพิ่งจะงัดมันออกมาโชว์อยู่บนเวที ดูท่า น่าจะเป็น “พวกขาประจำ”
ผมพยักเพยิดให้ “อรรณพ” มองตามเหล่าแขกต่างชาติที่เพิ่งเข้ามาในร้าน แต่เพื่อนรุ่นน้องตัวดีของผมคนนี้ทำหน้าเฉยๆ เขาคงไม่รู้สึกสะทกสะเทิ้นเขินอายอะไรอีกแล้วที่มีผู้หญิงเข้ามาอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับเขาและกำลังจะทำแบบเดียวกับที่เขากำลังจะทำ ก็แค่เลือกผู้ชายซักคนบนเวที แล้วก็พาออกไปข้างนอก
เขาบอกว่า มาเที่ยวแบบนี้ สนุกดี รวดเร็ว ประหยัดเวลา ไม่ต้องนั่งแชท ไม่ต้องคอยโทรจีบ ไม่ต้องโทรนัดกินข้าว หรือเข้าโรงหนัง เมื่อไหร่ที่อยากขึ้นมา ก็แวะมาสอยเอา อ้อ อีกอย่าง ไม่ต้องรักและผูกพันอะไรหลังกิจกรรมเสร็จสิ้นจังหวะของมันลง
อรรณพอายุสามสิบเศษๆ เขาคิดว่า เขารับผิดชอบตัวเองได้แล้ว และนี่ก็เป็นสิทธิ์ของเขาที่จะมาเที่ยว แต่ที่น่าทึ่งก็คือ เขามีกฎประจำตัวด้วยนะครับ ลูกค้าอย่างเขาจะไม่โทรนัด “เด็ก” ให้มาพบส่วนตัว เขาจะมาหาเองถึงที่ จ่ายเงินให้ทางร้าน เพื่อจะปลดปล่อย “น้อง” สักคน เขาทำตามระบบที่ไม่มีใครกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ราวกับสัตยาบัน อีกอย่าง เขาชอบอะไรที่คุ้นเคย
แต่วันนี้ น้องที่คุ้นเคยไม่อยู่ สงสัย เพราะไม่ได้แวะมาทีนี่ซะตั้งนาน ผมเองก็จำไม่ได้แล้วว่า มาเที่ยวที่ร้านนี้ ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ แต่ผมก็ยังจำหน้าบางคนได้ บนเวที
“น้องเคน กลับต่างจังหวัดน่ะ” มาม่าซังผมแดงใส่เสื้อสูทบอกเเขา อรรณพทำหน้ามู่ทู่เป็นคำตอบ มามาซังคนนี้ คงเพิ่งมาใหม่ แล้ว “โปรโมเตอร์” คนเดิมที่รู้ใจ กัน หายไปไหนแล้ว หรือ หล่อนอำลาวงการ?
“มีตัั้งหลายคนอยู่บนเวที ถูกใจน้องคนไหนบอกได้เลยนะครับ” มาม่าซังหัวแดงคะยั้นคะยอ
“ไม่ถูกใจซักคน” อรรณพตอบตรงๆ พลางกวาดสายตาดูหนุ่มหุ่นปึ้กกับกางเกงขาสั้นจุ๊ดบนเวทีอีกครั้ง เผื่อพลาดอะไรไป แต่นี่เราสองคนส่องกันอยู่ตรงนี้เกือบสองชั่วโมงแล้วนะ
“เอ่อ…ผมชอบน้องที่เป็นเกย์น่ะ ไม่เอาผู้ชาย ไม่เอาสาว ไม่เอาหน้าหวาน อยากได้ แบบรับเก่งๆ คุยเก่งๆ มีเปล่า…?”
มามาซังโพล่งออกมา “มีอยู่คน หุ่นดี เพิ่งเล่นกล้าม บริการดี แต่…มันมีเมีย”
“ไม่ชอบครับ อยากได้เกย์ ไม่อยากได้ผู้ชายไง” อรรณพย้ำ ผมกวาดสายตาไปรอบๆ อีกครั้ง ส่วนใหญ่แล้วคุณผู้อ่าน ในบาร์อะโกโก้ผู้ชาย ไม่ว่าที่ไหน จะมีผู้ชายเป็นพนักงานบริการเกินกว่าครึ่งแทบทั้งนั้น ถึงได้มีลูกค้าผู้หญิงมาร่วมใช้บริการด้วยไง ผมคิดเสมอว่า ผู้ชายไปเที่ยวซ่อง ไปอาบ อบ นวด แล้วก็นาบได้ แต่ผู้หญิงไม่ค่อยมีที่ไป เกย์ยังดีซะกว่า มีที่ให้ปลดปล่อยอารมณ์งุ่นง่านออก
แต่อรรณพ ไม่ค่อยชอบมีอะไรกับผู้ชาย เขาชอบเกย์ด้วยกัน
มาม่าซังเริ่มจับทางได้ “แต่น้องคนนี้ มันชอบมากนะ เวลาโดนเ…็ดน่ะ รับรองถูกใจคุณน้อง” หล่อนพูดพลางหัวเราะชอบใจ
“ไหนล่ะ อยู่ไหนบนเวทีเหรอ?”
“เปล่า ไม่ได้ให้ขึ้นเวทีหรอก”
“อ้าว ทำไม”
“มันตัวเตี้ย”
ผมขำแทน ส่วนอรรณพถอนหายใจ พอเห็นลูกค้าออกอาการเซ็งๆ มามาซังรีบส่งเสริมยอดขายทันที
“คุณน้อง คนที่พี่จะแนะนำให้น่ะ รับรองถึงใจ ตัวเล็กๆ อย่างนี้สิดี พลิกคว่ำตะแคงหงาย ได้หมดหมดทุกท่า รับรองสนุก เชื่อพี่สิ”
เขาทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดออกไปแบบเสียไม่ได้ “คนไหนล่ะพี่ ไม่ต้องเรียกมานั่งนะ แค่บอกว่าคนไหน”
หล่อนแล่นปรู๊ดไปยังประตูทางเข้าด้านหน้าตรงเคาร์เตอร์บาร์ ณ จุดนั้น พนักงานบริการชายหลายคนนั่งเรียงรายอยู่ หล่อนกวักมือหยอยๆ ทำท่าชี้ๆ ให้ดู โหย คนเยอะจะตาย ผมบอกอรรณพ มองไม่เห็นหรอก มืดอีกต่างหาก
“สงสัยจะเตี้ยจริง” อรรณพบอก แล้วก็ลุกขึ้น พุ่งตรงไปทันที เขาคงค้นพบอะไรเข้าแล้ว เห็นหายไปนาน
ในเวลาต่อมา “น้องศักดิ์” ก็เป็นสมาชิกใหม่ที่โต๊ะของเราด้วยความสูง ไม่น่าจะเกิน 160 ผิวสองสี มัดกล้ามที่แขนของเขาทำเอาเสื้อเชิ้ตตึงเปรียะ ดูแล้ว ภายใต้กระดุม น่าจะมีแผงหน้าอก ริมฝีปาก ใบหน้าคม และท่าทางกระตือรือร้นทำให้เขาดูน่ารักขึ้นเป็นกอง แต่น้องเป็นผู้ชายนะ มีเมียแล้วอีกต่างหาก ผมกระซิบหรอก หลังเขาจ้องน้องตาเป็นมัน
“พี่ชอบรุกน่ะครับ เรารับได้จริงเหรอ?” อรรณนพ ถามผู้มาเยือน
“ครับ ครับ ผมได้หมดครับ แล้วแต่พี่จะชอบ” เขาให้คำตอบ
“มีเมียยัง?” ผมช่วยสัมภาษณ์
“ยังครับ” เขาตอบยิ้มๆ
“ก็เห็นมามาซัง บอกว่า น้องมีเมียแล้วนี่” ผมมองหน้าเขาอย่างคาดคั้น
“อ๋อ แฟนน่ะครับ พอดีเค้าไม่อยู่ ไปต่างจังหวัด”
แล้วผมก็ปล่อยให้เขาสองคนค้นหากันและกันต่อไป เพื่อดับความเขิน แต่เดาว่า เดี๋ยวอีกแป๊บ คงแก้ผ้ากันแล้ว จะคุยนานๆ ไปทำตุ้มอะไร ผมสังเกต อรรณพน่าจะพึงพอใจไม่น้อย และไม่ออกอาการหงุดหงิดใส่ผมหากเขาต้อง”กลับบ้านมือเปล่า”
เขาเล่าให้ผมฟังว่า น้องๆ ส่วนใหญ่ที่เขาเจอจะแนะนำโรงแรมเล็กๆ หรือไม่ก็ม่านรูด จ่ายเงินเป็นรายชั่วโมง พวกเด็กๆ จะไม่ชอบตามแขกกลับไปที่พัก เท่าที่เขาเจอมา ส่วนใหญ่ น้องจะไม่อยากเสียค่ารถขากลับ ถึงแขกให้ค่ารถก็เถอะ แต่ถ้าบ้านแขกไกล ก็ไม่คุ้ม เสียเวลาเดินททาง ผมเดาเอาว่า การไม่คุ้นกับสถานที่น่าจะเป็นอีกปัจจัย ม่านรูดเป็นสิ่งที่พนักงานบริการคุ้นเคยมากกว่า แต่ถ้าไปที่พักของแขก เขาคงไม่รู้สึกว่าเป็นที่ของเขา
นอกจากจะมีเงื่อนไขเรื่องสถานที่แล้ว อรรณพเผยให้ผมฟังว่า น้องศักดิ์สุดหล่อชอบดูหนังโป๊
“ที่ม่านรูด มีหนังโป๊เกย์ด้วยเหรอ” ผมโพล่ง
“บ้าเหรอ หนังโป๊ผู้ชายผู้หญิงโว้ย” อรรณพทำคิ้วขมวด
คืนวันนั้น หลังจากเปิดห้อง จ่ายเงิน และอาบน้ำแล้ว ศักดิ์ก็หยิบรีโมททีวีถึงพบว่า บนจอมีแต่ช่อง 3-5-7-9 ศักดิ์ยกหูโทรศัพท์ “พี่ปล่อยหนังมาให้หน่อย” ไม่นาน หนุ่มตัวเล็กวัยยี่สิบสอง (อายุตามที่่อรรณพถามมา จริงเปล่าไม่รู้) ก็เพลิดเพลินกับเสียงผู้หญิงญี่ปุ่นบนจอ หล่อนครวญครางปานจะขาดใจ มีผู้ชายร่างท้วมกำลังอยู่บนร่างกายหล่อน
“แล้วแก ไม่รำคาญ แกมีอารมณ์เหรอ ดูหนังโป๊แบบนั้น”
“ก็เห็นน้องเค้าแข็งขึ้นมาทันทีเลย คงได้อารมณ์ แต่เราไม่สนอยู่แล้ว ขอคนรับได้เป็นพอ”
ต่อไปนี้ คุณผู้อ่าน เป็นซีนอีโรติค ผู้อ่านอายุต่ำกว่า 18 ควรได้รับคำแนะนำจากผู้ปกครอง
อรรณพสาธยายว่า น้องศักดิ์จูบเก่งมาก เขาจูบอย่างมาราธอน จนอรรณพเคลิ้มลิ้น ตอนที่ผลัดกันซุกไซร้ซอกคอ ไล่มาถึงยอดอก แล้วก็หน้าท้อง ทำเอาเขาซี้ดซ้าด ไม่เป็นส่ำ เสียงครางประสานกับเสียงจากทีวี แผ่นหลังของศักดิ์แน่นมาก ไม่ต้องพูดถึงแผ่นอก มันเป็นแผงนูนกำลังพอดี วิดีโอโป๊ ก็กำลังวทำหน้าที่ของมันไป พร้อมเสียงผู้หญิงญี่ปุ่นครางมาราธอน อรรณพบอกว่า ดูแล้วน่ารำคาญอยู่เหมือนกัน แต่ศักดิ์ออกอาการชอบมากอรรณพหยิบถุงยาง และเจลหล่อลื่นจากหัวเตียงออกมา เขาเตรียมไปเอง แล้วอีกไม่กี่อึดใจ เขาก็ได้ทำในส่ิงที่เขาอยากทำ
“มันส์มั๊ย” ผมว่า
“สุดยอด มามาซังว่าไว้ ไม่มีผิด” อรรณพยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่ “แต่แปลกดีว่ะ”
เขาเล่าว่า เขาถามน้องศักดิ์ตอนเสร็จกิจว่า ถามตรงๆว่า ตกลง เราเป็นอะไรกันแน่ “เป็น เกย์ เป็นไบ หรือเป็นผู้ชาย?”
ศักดิ์บอกอย่างรวดเร็ว ผมว่า “ผม เป็น…เกย์ ไบ รับ”
โอ้วแม่เจ้า ผมเกาหัวแกรกๆ เคยได้ยินมาแหละคำนี้ และเคยได้เห็นคนประกาศอย่างนี้เหมือนกันในบอร์ดต่างๆ แต่ผมไม่ค่อยเข้าใจ
อรรณพเล่าต่อว่า “เราว่า น้องมันเป็นเกย์ ไบ รับอย่างว่าแหละ พอตอนเราเอาเค้าอยู่นะ ตาเค้าก็มองที่ทีวี แถมยังบอกอีกว่า ชอบดูหนังโป๊ตอนผู้หญิงโดน ผมชอบดูหน้า ดูหุ่น แล้วจะยิ่งดี ถ้าผมโดนเอาไปด้วย”
อดไม่ได้ ต้องถามแบบนี้ ขออภัยท่านผู้อ่านที่ไม่สุภาพ แต่เรื่องนี้ It’s a must - ต้องถาม
“แล้วน้องมันแตกมั๊ย?”
“แหงล่ะสิ ก่อนซะอีก ตอนโดนโซ้ยอยู่นั่นแหละ” อรรณพเล่า ไม่มีปิดบัง
ผมขมวดคิ้ว พยายามคิดตามกับคำนิยาม “เกย์ ไบ รับ”
แล้วไงอีก มีไรประทับใจอีกมั๊ย อดไม่ได้ล่ะครับ ถามแล้วถามเลย เดี๋ยวจะหาว่า ไม่สู่รู้
“รายนี้มาแปลกว่ะ เวลาไซร้ๆ กัน น้องมันชอบ…ถุยน้ำลาย”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” อดไม่ได้ครับ “บ้า จริงดิ นายไม่ได้อาบน้ำหรือเปล่า คงเค็มน่ะ”
“อาบโว้ย รู้มะ น้องมันถุยน้ำลายที่พื้่นรอบเตียงเลย ถุยแล้ว ถุยอีก ไอ้เราก็ว่า เฮ้ย ถุยทำไมวะ ถุยจนไม่กล้าเหยียบลงพื้นเดินเข้าห้องน้ำเลย สงสัยมันติดนิสัย หรือไม่ชอบเรา เลยลองถามไปตอนเสร็จเรียบร้อยว่า ตอนโดนพี่เอาอยู่ คิดถึงใคร”
“ไปถามเขาทำไม”
“รู้ปะ ไอ้นี่ปากหวาน น้องตอบว่า ก็คิดถึงพี่สิ ไม่งั้นจะแตกเหรอ”
ผมหัวเราะ น้องน่าจะตอบว่า “คิดถึง กระโถน”
“แล้วทำไม ไม่ให้น้องมันถุยน้ำลายลงบนตัวซะเลยล่ะ”
“ไอ้บ้า”อรรณพหัวเราะชอบใจ

หนูสอนพ่อ...ไม่ใช่พ่อสอนหนู!!

Thursday, December 4, 2008

This summary is not available. Please click here to view the post.

พ่อ ... ผู้ชายที่ผมเคยเกลียด

This summary is not available. Please click here to view the post.

พ่อครับ......ผมรักพ่อ


ข้อมูลจาก Forward Mail

บทความโดย : Chaiyathep Viriyanitikon
พ่อของผมเป็นคนดุ เสียงดังและมักจะอารมณ์เสียกับเรื่องต่างๆ อยู่เสมอ เมื่อผมยังเป็นเด็กวัยรุ่น ผมไม่เคยเข้าใจกับคำสั่งของพ่อเลย บางอย่างมันก็เป็นเรื่อง ที่ฝืนความรู้สึกของผมโดยสิ้นเชิง การไปเตะฟุตบอล แล้วกลับบ้านค่ำเหมือนเพื่อนคนอื่น ไม่ถูกต้องนักในสายตาของพ่อ ผมต้องกลับมาช่วยงานที่บ้านทุกวัน บางครั้งผมก็คิดว่าพ่อไม่เคยเข้าใจผมเลย ไม่ได้รักผมเลยแม้แต่นิดเดียว
เดือนธันวาคมของทุกปีโรงเรียนของผมมีการจัดงานวันพ่อ โดยมากจะมีการจัดบอร์ดเกี่ยวกับในหลวง แต่ปีนี้มีอะไรที่พิเศษกว่าอาจารย์ให้พวกเราเขียนการ์ดวันพ่อ การ์ดจะต้องถูกทำขึ้นเองและให้อาจารย์ตรวจก่อนส่งทางไปรษณีย์ไปที่บ้านของแต่ละคน สำหรับผมแล้ว เรื่องการ์ดนี้ไม่ได้มีความสำคัญไปมากกว่าการได้เตะฟุตบอล หรือ ว่าเตะตะกร้อกับเพื่อนเลย มันออกจะเป็นความกระดากอายด้วยซ้ำที่จะต้องเขียนการ์ดอวยพรให้กับพ่อ
หลายวันนั้นผมทำอะไรหลายอย่างกว่าจะได้ทำการ์ดก็เป็นวันสุดท้ายก่อนที่จะส่งการ์ดสีฟ้าทำมาจากกระดาษแข็งที่เหลือมาจากจัดบอร์ดที่โรงเรียน ลายขลิบสีทองข้างๆ ผมก็ได้มาจากหมวกวันปีใหม่เก่าๆ ของน้อง ผมเขียนข้อความลงไปว่า ขอให้พ่อมีความสุขและหายป่วยจากโรคที่เป็นอยู่ ผมคิดว่าถ้าผมเป็นอาจารย์ไอ้การ์ดใบนี้คงได้คะแนนไม่เกินห้าจากเต็มสิบแน่ๆ สองวันต่อมาผมกะว่าการ์ดจะต้องถูกส่งมาถึงที่บ้าน ทุกเย็นเมื่อกลับถึงบ้านผมจะรีบไปที่ตู้ไปรษณีย์เพื่อที่จะเก็บการ์ดของผมก่อน พ่อจะได้รับมัน
หลายวันต่อมาผมก็ไม่เห็นมีการ์ดส่งมาที่บ้านแล้วผมก็ลืมเรื่องนี้ไป
วันหนึ่งพ่อใช้ให้ผมไปหยิบของที่โต๊ะบัญชี เมื่อไขล็อคกุญแจและดึงลิ้นชักออกมา ผมพบการ์ดใบนั้นวางอยู่ ผมไม่รู้ว่าพ่ออ่านมันรึยัง ความรู้สึกของผมตอนนั้นคือ เจ้าการ์ดใบนี้คือสิ่งที่ไม่น่าเก็บไว้ มันไม่ได้ทำมาจากความตั้งใจของผมเลย มันน่าจะหายไป แต่ว่าผมก็ยังไม่อยากจะทิ้งมันไปเลยนำมันซ่อนไว้ในลิ้นชักข้างๆ กัน ต่อมาเมื่อผมเปิดลิ้นชักอีกครั้งก็พบการ์ดใบนี้วางอยู่เสมอ

คราวนี้ทุกครั้งที่ผมเจอมัน ผมจะนำมันไปเก็บไว้ที่อื่นเสมอ และ ไม่ว่ากี่ครั้งที่ผมเปิดลิ้นชักเดิมก็จะพบว่ามันอยู่ที่เดิมเสมอ ครั้งสุดท้ายที่ผมพบมัน ผมเก็บมันไว้ในที่ที่คิดว่าจะไม่เจอมันอีกเลย และ เรื่องนี้พ่อกับผมไม่เคยพูดถึงมันเลย
จากนั้นไม่นานพ่อก็จากไปด้วยโรคประจำตัว
ห้องของพ่อเหมือนกับถูกปิดตาย ไม่มีธุระจำเป็นจริงๆ หรือว่าทำความสะอาด ก็จะไม่มีคนเข้าไปในห้องนั้นเลย ผมเข้ามาเรียนต่อในที่ใหม่ มีเรื่องใหม่ให้พบให้เจอทุกวัน ความทรงจำหลายอย่างเกี่ยวกับพ่อก็จางหายไป....

จนวันหนึ่งผมเจอปัญหา ในหัวของผมมีแต่เรื่องสับสน อยากหนีปัญหาไปไกลๆ ไม่อยากเจอแม้แต่ผู้คน ผมกลับมาที่บ้านไขกุญแจห้องพ่อแล้วเข้าไปในนั้น ที่ห้องของพ่อทุกอย่างยังเหมือนเดิม ข้าวของทุกชิ้นยังอยู่ครบเหมือนครั้งที่พ่อยังอยู่ ในห้องเงียบมากผมได้ยินแม้แต่เสียงหัวใจของตัวเอง

ผมเดินไปที่โต๊ะบัญชีที่พ่อมักจะนั่งอยู่ที่นั่นเสมอ ตอนนั้นผมคิดว่าถ้าพ่อยังอยู่พ่อจะทำอย่างไร จะแนะนำผมอย่างไร แล้วจะช่วยผมแก้ปัญหาอย่างไร ทันใดนั้นผมคิดถึงเรื่องเก่าๆ เรื่องนึงขึ้นมา ผมรีบเอากุญแจไขลิ้นชักโต๊ะบัญชีด้วยความหวังว่ามันจะยังอยู่ เมื่อเปิดลิ้นชักผมก็พบมัน การ์ดสีฟ้าขลิบทอง ยังดูโดดเด่นอยู่ลิ้นชักของพ่อ มันยังอยู่ที่เดิมเหมือนทุกครั้ง
ถึงตอนนี้ผมรู้แล้วว่าพ่อรักผมมากขนาดไหน ทุกครั้งที่การ์ดใบนี้หายไปพ่อจะหามันแล้วนำมัน มาเก็บไว้ที่เดิม ไม่ว่ามันการ์ดที่ไม่มีราคาค่างวดใดๆและแทบจะหาความสวยงามใดๆไม่ได้เลย พ่อก็เก็บมันไว้เสมอ และ สิ่งที่พ่อสอนผมด้วยการกระทำมันมากกว่าคำพูดทั้งหมด พ่อสอนให้ผมมีความรับผิดชอบกับการกระทำของตนเอง ให้มีความอดทนและไม่ท้อแท้กับปัญหาใดใด เหมือนพ่อเคยเจอเสมอและผ่านมาได้ทุกครั้ง

ผมรู้สึกขึ้นมาทันทีว่าปัญหาที่ผมเจอตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย กำลังใจจากการ์ดใบนั้นเหมือน จะค่อยๆแผ่ซ่านจากมือเข้ามาสู่หัวใจผม ในใจของผมรู้สึกอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาดเหมือนกับพ่ออยู่ในนั้น

ผมวางการ์ดเก็บไว้ที่ลิ้นชักตามเดิมและออกมาจากห้องของพ่อด้วยความรู้สึกที่แตกต่าง กับเมื่อตอนที่เข้ามา ก่อนประตูจะปิดลงผมบอกออกไปด้วยความรู้สึกที่พ่อก็มีให้ผมมาตลอดว่า "พ่อครับ ผมรักพ่อ"

สนามรบ รด.จบ

Tuesday, December 2, 2008

This summary is not available. Please click here to view the post.

สนามรบ รด.จบ

This summary is not available. Please click here to view the post.

Blog Archive