สนามรบ รด.2

Tuesday, December 2, 2008


ตอนที่ 2
การเรียนร.ด. ปี 2 นี้ก็คล้ายกับตอนปี 1 เพียงแต่ผมเปลี่ยนไปเรียนภาคเช้า มีปฐมนิเทศ 1 ครั้ง แล้วจึงเริ่มด้วยการฝึกอาวุธประจำกาย ( ปลย. 11= ปืนเล็กยาว 11 ) ที่ผมสุดจะเกลียด มีการฝึกใช้ปืนเหมือนปี 1 แต่คราวนี้ผมโดนครูฝึกด่าน้อยลง อาจเป็นเพราะผมคุ้นเคยกับการฝึกลักษณะนี้แล้ว การฝึกบุคคลท่ามือเปล่าเหลือเพียง 1 ครั้งเท่านั้นและทุกคนฝึกกันได้สบายๆ เนื่องจากผ่านการฝึกมาอย่างหนักหน่วงแล้วเมื่อตอนปี 1 แต่ที่ถือว่าโหดจริงๆ ก็มีอยู่ 2 ครั้ง ครั้งแรกเป็นการฝึกยิงปืนที่สนามยิงปืนเหมือนปี 1 ผมรู้สึกว่าครูฝึกจะโหดขึ้นและเข้มงวดขึ้น ทำให้ผมและเพื่อนๆ ถูกด่าเสียมากมายโทษฐานที่ฝึกชักช้า แต่ผมก็พยายามอดทนและใช้วิธีเดิมคือกัดริมฝีปากจนเจ็บ ไม่แสดงอาการใดๆ ออกมาทั้งนั้น การฝึกสุดโหดอีกครั้งหนึ่งที่ผมจะไม่มีวันลืมคือวิชายุทธวิธี บุคคลทำการรบในเวลากลางวันและกลางคืน เราต้องฝึกที่สนามภูมิประเทศซึ่งเป็นสนามดิน พื้นเป็นหลุมเป็นบ่อเต็มไปหมด เป็นสนามที่ถูกดัดแปลงให้มีลักษณะภูมิประเทศหลากหลายเพื่อใช้ฝึกรบโดยเฉพาะ ผมและเพื่อนๆ ทั้งกองร้อยจะต้องถือปืนยิงกราดไปทั่ว แล้วก็วิ่ง หมอบ คลาน ไปทั่วสนามไม่รู้กี่สิบรอบ ครูฝึกที่ฝึกก็โหดมาก ให้พวกเราวิ่ง และคลานไม่หยุดเลย แถวไหนคลานช้าก็จะโดนทำโทษให้มุดท่อ ผมและเพื่อนๆ ในแถวโดนมุดท่อมาแล้ว มุดจนเจ็บระบมไปทั้งตัวเลย ตอนนั้นผมคิดว่า นี่คงเป็นการฝึกรบที่โหดที่สุดแล้วสินะ !
แต่ผมคิดผิด ภายหลังเมื่อผมไปฝึกเข้าตีของจริงที่สนามภูมิประเทศ ณ เขาชนไก่ ทำให้ผมรู้ทันทีว่า การฝึกตอนปี 2 นี้สบายสุดๆ เทียบไม่ได้เลยกับการฝึกอันหฤโหดที่เขาชนไก่ !
อย่างน้อยระยะทางก็เทียบกันไม่ได้แล้ว สนามภูมิประเทศที่ศูนย์ฝึกร.ด. เล็กนิดเดียว แต่ที่เขาชนไก่มันกว้างสุดลูกหูลูกตาจริงๆ
การฝึกครั้งต่อๆ มาก็มีบางครั้งที่สบายขึ้นมาหน่อย คือเป็นการเรียนวิชาการในห้องเรียน วิชาที่เรียนก็คล้ายๆ ปี 1 แต่ระดับความยากจะเพิ่มขึ้น เช่น เรียนวิชาทหารทั่วไป การข่าวเบื้องต้น การปฐมพยาบาลและเวชกรรมป้องกัน การอ่านแผนที่และการใช้เข็มทิศ ( มีแผนที่แผ่นใหญ่ของจริงให้เราฝึกอ่านกันด้วย และมีเข็มทิศให้ดู ) เรียนวิชากิจการพลเรือน ความมั่นคงของชาติ และประวัติศาสตร์สงคราม ฯลฯ วันไหนที่เป็นการเรียนภาคทฤษฎีแบบนี้ ผมจะรู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อยเพราะไม่ต้องกลัวครูฝึกจะมาหาเรื่องด่า แค่ตั้งใจเรียนดีๆ ไม่คุยในห้องเรียนก็ไม่โดนด่าแล้ว ครั้งต่อๆ มาก็เป็นการเรียนวิชาอาวุธ มีการเอาอาวุธมาโชว์ด้วย ต่อด้วยวิชาเกี่ยวกับการรบ วิชาเหล่านี้เรียนในห้องเรียนอัฒจันทร์ อาจจะไม่สบายเท่าวิชาที่ต้องเรียนบนตึก แต่ผมก็รู้สึกสบายใจทุกครั้งที่เรียนภาคทฤษฎี
ปี 2 นี้ผมไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องผม ( บนกบาล ) มากนักเพราะจะพยายามตัดให้เรียบร้อยก่อนมาเรียน บางครั้งไม่อยากไถกบาลจนเกรียนแบบทรงนักเรียนก็จะบอกช่างให้ตัดทรง " รองหวี " ซึ่งดูดีกว่าทรงนักเรียน สั้นพอกันแต่ไม่ไถจนเห็นหนังกบาลแบบทรงนักเรียน วันไหนที่มีเรียนร.ด. เพื่อนๆ ของผมส่วนใหญ่จะคึกคักเป็นพิเศษ เพราะวันนี้เรียนแค่ครึ่งวันเช้า ตอนบ่ายจะไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ เพื่อนบางคนก็จะไปเที่ยวกัน ไม่เหมือนตอนปี 1 ที่ต้องไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนก่อน เรียนเสร็จก็ต้องรีบมาหาข้าวกินที่ศูนย์ฝึกร.ด. แล้วก็ฝึกถึงเย็น กว่าจะเลิกก็มืดค่ำ ต้องรีบกลับบ้านไปทำการบ้านอ่านหนังสือ เตรียมตัวมาเรียนในวันถัดมา
แต่ปี 2 นี้เรียนภาคเช้าทำให้มีเวลาว่างมากขึ้น แดดก็ไม่ร้อน ทุกคนจึงสดชื่นกันพอสมควร ถึงจะฝึกหนักคลุกดินคลุกโคลนกันขนาดไหนก็กลับไปพักผ่อนที่บ้านได้ ผมเองพอเรียนเสร็จก็รีบกลับบ้านไปทำการบ้าน อ่านหนังสือ เพราะเริ่มเรียนหนักขึ้น อยู่ม. 5 แล้ว แถมผมเรียนสายวิทย์ – คณิตอีกด้วย ยิ่งทำให้ต้องขยันมากขึ้นเป็นเท่าตัว
พอเรียนจนครบ 20 ครั้งก็ถึงเวลาสอบภาคปฏิบัติ เราต้องไปสอบตามฐานต่างๆ คือฐานการใช้ดาบปลายปืน ผมและเพื่อนๆ ต้องจดจำท่าการใช้ดาบปลายปืนให้แม่นยำเพราะเวลาสอบต้องทำท่าให้ถูกจังหวะและต้องพร้อมกันทุกคน ผมฝึกทำท่าการใช้ดาบปลายปืนท่าต่างๆ มาเป็นอย่างดี ผมจึงสอบผ่านไปได้อย่างง่ายดายเพราะทำท่าแทงได้คล่องมาก แล้วก็ไปต่อที่ฐานประกอบปืน ฐานนี้ผมประกอบปืนไม่คล่องอยู่แล้ว แต่โชคดีที่ครูฝึกให้ทุกคนช่วยกันประกอบปืน ผมก็ไปช่วยดูช่วยจับบ้างนิดหน่อย สุดท้ายก็ผ่านฐานนี้ไปได้เช่นกัน ปิดท้ายด้วยฐานการเดินสวนสนาม ฐานนี้ต้องอาศัยความพร้อมเพรียง ต้องเดินสวนสนามผ่านหน้าครูฝึก ผมและเพื่อนๆ ในหมวด 3 ก็เต็มที่อยู่แล้ว ตั้งใจเดินสวนสนามกันเต็มที่ เดินสวนสนามไป 2 รอบก็ผ่าน ผมลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก นึกในใจว่าในที่สุดเราก็ทำสำเร็จ ถึงการสอบภาคปฏิบัติจะยากกว่าตอนปี 1 แต่ผมก็ผ่านมันไปได้ด้วยดี ดีใจจริงๆ !
หลังจากครั้งนั้นก็เป็นการสอบภาคทฤษฎีที่ศูนย์ฝึกร.ด. ข้อสอบเป็นปรนัยเหมือนปี 1 ผมก็ทำเต็มที่ สุดท้ายผมก็สอบผ่านร.ด. ชั้นปีที่ 2 และได้เลื่อนขึ้นไปเรียนชั้นปีที่ 3 สมใจ เพื่อนๆ ของผมก็สอบผ่านกันแทบทุกคน
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ผมกลับมีปัญหาในการเรียนที่โรงเรียน อาจเป็นเพราะวิชามันยากเกินไปหรือผมไม่ตั้งใจเรียนเอง ทำให้ผมสอบตกหลายวิชาและได้รับความอับอายยิ่งนัก แต่ผมก็พยายามสอบซ่อมจนผ่าน ช่วงนี้ถือเป็นช่วงที่แย่ที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิตของผมเลยทีเดียว
แต่อะไรก็ไม่น่าตกใจยิ่งกว่าการได้มารู้ตัวตนที่แท้จริงของผมเมื่อผมจวนจะจบม. 5 อยู่แล้ว ผมได้พบกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งทำให้จิตใจของผมปั่นป่วนไปหมด เลือดหนุ่มในตัวของผมเดือดพล่านอยากจะลิ้มลองเขาจริงๆ แต่ผมก็พยายามข่มใจ คิดในใจว่าเราคงฟุ้งซ่านไปเอง เขาก็ผู้ชายเหมือนกับผม ผมไปเกิดอารมณ์กับเขาได้ยังไงกัน ?
ผมพยายามลืมความรู้สึกรัก ชอบผู้ชายด้วยกัน แล้วหันไปสนใจเรื่องเรียนแทน ผมใกล้จะเป็นนศท. ชั้นปีที่ 3 แล้ว…..ผมต้องเข้มแข็งกว่านี้อีกหลายเท่า……. ผมคิดแบบนี้อยู่เรื่อยๆ
……………………………………………
ในที่สุดผมก็ได้เป็นนศท. ชั้นปีที่ 3 ปีนี้ผมกลับมาเรียนภาคบ่ายอีกครั้ง ปี 3 นี้เรียนในห้องเรียนมากขึ้น มีฝึกเบื้องต้นแค่ 1 ครั้งและก็ไม่ได้ฝึกจริงจังอะไรเท่าไหร่ แค่ฝึกแถวชิดและฝึกบุคคลในท่ามือเปล่าธรรมดาๆ ผมและเพื่อนๆ เรียนสบายขึ้น วิชาที่เรียนมีทั้งวิชาเก่าที่เคยเรียนมาแล้วตอนปี 1 แต่ยากขึ้น เช่น วิชาทหารทั่วไป แบบธรรมเนียมทหาร การข่าวเบื้องต้น การปฐมพยาบาลและเวชกรรมป้องกัน ความมั่นคงของชาติ ประวัติศาสตร์สงคราม ฯลฯ เรียนวิชาอาวุธ วิชายุทธวิธี ในห้องเรียนอัฒจันทร์เหมือนเมื่อตอนปี 1-2 และมีวิชาใหม่เพิ่มขึ้นมาคือ " วิชาเหล่า " เช่น เหล่าทหารราบ เหล่าทหารม้า เหล่าทหารปืนใหญ่ ซึ่งทั้งหมดเรียนในห้องเรียนทั้งสิ้น พอจบการเรียนในห้องเรียนแล้วก็ลงมาเข้าแถวให้ครูฝึกปกครอง ฝึกระเบียบแถวกันซักพัก แล้วค่อยแยกย้ายกันกลับ ปี 3 นี้ผมและเพื่อนๆ ไม่ค่อยโดนด่าหรือทำโทษมากนัก เพราะพวกเราคุ้นเคยกับการฝึกดีแล้ว สามารถปรับตัวให้เข้ากับครูฝึกได้ ครูฝึกเองก็คลายความเข้มงวดลงไปบ้าง ถ้าไม่หนักหนาสาหัสจริงๆ ก็จะไม่ด่าหรือทำโทษหนักๆ แต่ก็ยังตรวจผมอยู่เป็นประจำ ผมเลยต้องตัดผมอยู่บ่อยๆ ทำให้รอดจากการโดนไล่ให้ไปตัดผมมาตลอด
มีครั้งเดียวที่ผมพลาดไป ครั้งนั้นผมทำผิดโดยเดินแตกแถวอย่างไม่ตั้งใจ ครูฝึกก็เลยสั่งทำโทษผมให้ผมวิดพื้น 20 ทีต่อหน้าเพื่อน 5 คน อายเพื่อนเหมือนกัน ตั้งแต่นั้นผมก็ไม่กล้าเดินแตกแถวอีกเลย
ความจริงการโดนทำโทษเป็นของคู่กับนักศึกษาวิชาทหารทุกชั้นปีอยู่แล้ว ผมเชื่อว่านักศึกษาวิชาทหารทุกคนต้องเคยโดนทำโทษมาแล้วทั้งสิ้น ถ้าไม่โดนทำโทษคนเดียวก็ต้องโดนทำโทษยกหมู่ ยกหมวด ยกกองร้อย หรือยกกองพัน ไม่มีใครที่รอดจากการไม่โดนทำโทษแน่นอน
ปี 3 นี้เรารวมพลที่สนามใหญ่ซึ่งเป็นสนามที่พวกเราใช้ทดสอบวิ่งเมื่อตอนสอบเข้าเรียนร.ด. นศท. มีจำนวนมากกว่าตอนเรียนปี 1 และปี 2 เวลาเรียกรวมพลแต่ละครั้งต่างคนต่างวิ่งมาเข้าแถวแทบจะชนกันตายเพราะคนเยอะจริงๆ หาแถวก็ยาก ผมเลยใช้วิธีเกาะไอ้อ๊อตกับไอ้เทพไว้ มันวิ่งไปไหนผมไปด้วย ทำให้ผมหาแถวเจอเร็วขึ้น ถ้าวิ่งหาคนเดียวคงจะอีกนานกว่าจะหาเจอ โดนครูฝึกสั่งทำโทษแหงๆ เวลาเลิกแถวก็ต้องวิ่งกระจายไปคนละทิศละทางอย่างรวดเร็ว ผมก็ต้องวิ่งเหมือนกัน แต่ก็ระวังไม่ให้ชนกับเพื่อนคนอื่นๆ แล้วค่อยหาไอ้อ๊อตกับไอ้เทพทีหลัง
หลังจากเรียนครบ 20 ครั้งก็ต้องสอบ ปี 3 นี้สอบภาคทฤษฎีอย่างเดียว ภาคปฏิบัติคือการไปฝึกภาคสนามที่เขาชนไก่ แถมการสอบภาคทฤษฎีของปี 3 ยังมาสอบที่โรงเรียนของผมอีกต่างหาก มีนศท. สถาบันอื่นมาสอบเยอะมาก ข้อสอบเป็นปรนัยเหมือนเคย ทุกคนสอบผ่านไปได้ด้วยดี แล้วจึงเตรียมตัวไปฝึกภาคสนามที่เขาชนไก่ ช่วงนี้ผมมั่นใจแล้วว่าผมเป็นเกย์ ชอบผู้ชายด้วยกัน
การฝึกภาคสนามปี 3 ที่เขาชนไก่เป็นประสบการณ์ชีวิตที่ผมไม่มีวันลืม มันเป็นการฝึกที่หฤโหดน่าดูแต่ผมก็ผ่านมันไปได้ ผมได้เพื่อนแท้ 2คนที่เขาชนไก่คือไอ้อ๊อตกับไอ้เทพ ดังคำกล่าวที่ว่า " เพื่อนแท้ พิสูจน์ได้ที่นี่ "
หลังจากกลับมาจากเขาชนไก่แล้ว ผมก็ยังคบหากับไอ้อ๊อตและไอ้เทพอยู่จนจบม. 6 ผมสอบเอ็นทรานส์ไม่ติดเลยตัดสินใจเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเอกชนใกล้บ้าน ส่วนไอ้อ๊อตกับไอ้เทพเอ็นท์ติดมหาวิทยาลัยต่างจังหวัด มัน 2 คนจึงต้องไปอยู่หอของมหาวิทยาลัย และขาดการติดต่อกับผมไปในที่สุด ส่วนผมก็สมัครเรียนร.ด. ปี 4 ต่อเพราะอยากลิ้มรสชาติความเป็นลูกผู้ชายให้มากกว่านี้ แล้วผมก็ไม่ผิดหวัง เพราะปี 4 และปี 5 นี้เป็นการฝึกความเป็นลูกผู้ชายอย่างแท้จริง คนที่เรียนร.ด. ปี 4 และปี 5 ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายแท้ๆ ที่รักสนุก ชอบการฝึกแบบโหดๆ มันส์ๆ ตื่นเต้นเร้าใจสไตล์ผู้ชาย แบบนี้แหละที่ผมชอบ เรียนร่วมกับผู้ชายแท้ๆ เป็นฝูง ! สวรรค์ชัดๆ !
…………………………………………….
การเรียนร.ด. ปี 4 มีความแตกต่างกับปี 1-3 พอสมควร ปี 4 นี้ผมเรียนตอนเช้า คนน้อยลง ความเข้มงวดของกฎระเบียบก็น้อยกว่าปี 1 –3 แต่ก็ไม่ได้ปล่อยจนเละเทะ ระเบียบแถวยังต้องมี ความพร้อมเพรียงและความกระตือรือล้นก็ยังต้องมีมากอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ครูฝึกเห็นว่าพวกเราโตๆ กันแล้วก็เลยปล่อยๆ บ้าง วิชาที่เรียนส่วนใหญ่ก็จะเป็นวิชาสงครามพิเศษและวิชายุทธวิธี วิชาการรบพิเศษ ฯลฯ เราจะเรียนเน้นภาคทฤษฎีกันมาก ส่วนภาคปฏิบัติจะเก็บไว้ฝึกที่เขาชนไก่ ผมรู้สึกว่าวิชาที่เรียนยากขึ้นกว่าตอนปี 3 มาก ลงลึกในรายละเอียดมากยังกับจะไปเป็นทหารกันจริงๆ แต่ก็สนุกดี ตอนแรกๆ ที่เรียนผมไม่ค่อยรู้จักใครเท่าไหร่เพราะต่างคนต่างมาจากหลากหลายสถาบัน เรียนด้วยกันไปหลายๆ ครั้งจึงเริ่มรู้จักเพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นหลายคน รวมทั้ง " ไอ้บอม " เพื่อนใหม่ที่ผมสนิทที่สุด เพราะมันเป็นเกย์เหมือนผม
เรื่องของทรงผม ปี 4นี้ไว้รองทรงสูงได้แต่ห้ามยาวเกินไป ข้างบนต้องสั้น ครูฝึกไม่ค่อยยุ่งกับกบาลของพวกเราเท่าไหร่นัก และทุกคนก็ปฏิบัติตามกฎดี ไม่มีใครทำตัวเกเรหรือไว้ผมยาวเพราะต่างก็โตเป็นหนุ่มแล้ว รู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ
เรียนจบครบ 20 ครั้งก็สอบภาคทฤษฎี เสร็จแล้วก็ไปฝึกภาคสนามที่เขาชนไก่ ปี 4 นี้โหดกว่าปี 3 ไม่รู้กี่เท่า กว่าจะฝึกจบแทบจะรากเลือดตาย ยังดีหน่อยที่ผมได้เพื่อนสนิทเพิ่มขึ้นอีก 1 คนนั่นคือ " ไอ้ธีระ " เพื่อนที่ผมอยากให้มันเป็นมากกว่าเพื่อนเหลือเกิน
ความรักของผมเกิดขึ้นที่เขาชนไก่ แล้วก็จบลงที่เขาชนไก่ !
คุณคงจำได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้ธีระ ณ เขาชนไก่ มันลึกซึ้งมากเพียงใด ถึงจะไม่ได้เกินเลยถึงขั้นล่อตูดกัน แต่ผมก็มีความรู้สึกดีๆ กับไอ้ธีระอยู่ไม่น้อย
หลังจากที่ผมกลับจากเขาชนไก่แล้ว ผมก็ยังโทรคุยกับไอ้ธีระอีกหลายครั้ง แต่ไอ้ธีระดูเหมือนว่าจะไม่อยากคุยกับผมเท่าไหร่ ความรู้สึกผูกพันของไอ้ธีระที่มีต่อผมเริ่มลดลงตามกาลเวลา ไอ้ธีระค่อยๆ ลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเขาชนไก่ ลืมความรักความผูกพันที่มันเคยมีให้ผมจนหมดสิ้น ตรงข้ามกับผมที่ไม่เคยลืมเรื่องราวเหล่านั้นเลย เหตุการณ์ทุกตอน ทุกวินาทีที่เกิดขึ้น ผมยังจำได้ดี ไม่มีวันลบเลือนไปจากใจได้เลย
สุดท้ายไอ้ธีระก็เปลี่ยนเบอร์มือถือ ทำให้ผมติดต่อกับมันไม่ได้อีกต่อไป จะไปหามันก็ไม่รู้บ้านมันอยู่ที่ไหน
ทุกวันนี้ผมกับไอ้ธีระจึงเหลือเพียงแค่ความทรงจำเก่าๆ ในช่วงเวลา 7 วันตอนปี 4 ที่เราเคยฝึกร่วมกัน ให้ได้คิดถึงเท่านั้น
……………………………………………….
พอขึ้นปี 5 การเรียนแทบจะไม่ต่างกับปี 4 เลย วิชาที่เรียนก็เหมือนเดิมเพียงแต่ยากขึ้นมากๆ เรียนภาคทฤษฎีไม่เท่าไหร่ จะไปโหดตอนฝึกภาคสนามที่เขาชนไก่ ปี 5 นี้ถือเป็นการฝึกที่หฤโหดแบบสุดๆ ชนิดที่ไม่อาจเทียบกับปี 3 หรือปี 4 ได้เลย เป็นการฝึกภาคสนามครั้งสุดท้ายของนศท. ทุกคน เป็นภารกิจระห่ำครั้งสุดท้ายในชีวิตของลูกผู้ชาย และเป็นการปิดตำนาน " ร.ด. หฤโหด " อย่างสมบูรณ์
หลังจากสอบภาคทฤษฎีผ่านพ้นไป คราวนี้ก็ถึงเวลาแล้ว………..
เวลาที่จะได้สนุกอีกครั้ง……..ผมรอวันนี้มานานแสนนาน…………ในที่สุดก็มาถึงจนได้…..ดีใจจริงๆ
พรุ่งนี้แล้วที่ผมจะได้กลับไปที่ที่ผมรักอีกครั้ง …….เขาชนไก่…สถานที่ฝึกความเป็นลูกผู้ชาย
ไม่ว่าจะต้องเจอกับอะไรก็ตาม ผมจะต้องผ่านมันไปให้ได้ ผมจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด
เพราะผมก็เป็นลูกผู้ชายคนหนึ่งเหมือนกัน !
ตามติดชีวิตเด็กวังสราญรมย์
www.dek-wang.blogspot.com
free4gay.download free clip movie and picture for gagy.
http://free4gay.thumblogger.com

0 comments:

Blog Archive