แค่อยากจะบอกว่า…ก้อมันไม่ใช่

Thursday, October 16, 2008






เบื้องหน้าของ “ต่อ” คือ ชายร่างสูงเกือบ 180 ซม. ใบหน้ามีเคราเขียวจางๆ ผมปัดเป๋ เขาไม่ได้ดูอ้วนลงพุง เส้นผมบนศีรษะก็ไม่ได้บางลงเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ของต่อที่แต่งงานและมีลูกแล้ว


ขอบใจนะที่มา “จร” พูดแล้วนั่งลง พลางมองไปรอบๆ เขาคงไม่รู้จักใครเลยที่ร้านอาหารแห่งนี้ และที่กรุงเทพฯ นี่คงไม่มีใครรู้จักเขา ดีจริง เขาเรียกพนักงานมาสั่งเบียร์


“ไม่น่าเชื่อเลย ใช่มั๊ย? ถ้าวันนั้น เราไม่ไปสาย คงไม่ได้เจอนายที่นั่น” ต่อเปิดบทสนทนาแล้วยิ้มให้ อดไม่ได้ที่จะแอบสังเกตรายละเอียดบนใบหน้าของจรยามเมื่ออยู่ใกล้ๆ ผ่านแก้วเบียร์ของเขาที่ยกขึ้นซด และใช้บังสายตาเขาตอนนี้


สองปีที่แล้ว ต่อกำลังจะเดินทางไปมาเลเซีย ส่วนจรกำลังจะกลับบ้านเกิดที่ต่างจังหวัด ตอนนั้นสุวรรณภูมิยังไม่ได้แยกเที่ยวบินในประเทศกลับไปอยู่ดอนเมือง ทั้งสองคนหันมาเห็นกันโดยบังเอิญที่เคาน์เตอร์ของสายการบินตอนเช็คอิน


จังหวะนั้น สองคนแทบจะกระโดดเข้าใส่กัน แต่เพราะต่อกำลังจะตกเครื่อง จึงทำได้เพียงร้องทักทาย “เดี๋ยวเราขอที่อยู่นายกับที่บ้านนายนะ” ต่อตระโกนบอกก่อนจะกุลีกุจอหอบกระเป๋าวิ่งหน้าตั้งไปด่านตรวจ
สิบกว่าปีมาแล้วที่สองคนไม่ได้เห็นหน้ากันเลย บางครั้งต่อก็นึกอิจฉาจรเหมือนกัน ทั้งๆ ที่พ่อของทั้งสองก็ทำมาหากินมาคล้ายๆ กัน แต่ฐานะทางบ้านของจรดีกว่าต่อหลายขุมนัก


ตอนประถมหนึ่ง เขาอยู่กันคนละห้อง ต่อจำได้ว่า เขาเรียนดีกว่าจรหลายเท่า แต่คนเรียนเก่งมักจะสู้ผู้ชายอีกคนไม่ได้ตรงความฮ็อต ประเด็นนี้ปรากฏชัดเจนขึ้น เมื่อโรงเรียนชายล้วนที่เขาเรียนกันมาตั้งแต่เด็ก มีนักเรียนหญิงมาเรียนร่วมด้วยตอนเขาทั้งสองขึ้น ม. 4


“ผมน่ะ ไม่เคยเรียนห้องเดียวกับมันเลยนะ ตอนประถมถึงมัธยม ก็เห็นๆ หน้ากันอยู่ ไม่ค่อยชอบหน้ามัน ไงก็ไม่รู้ แต่พอดีพ่อผมกะพ่อมันเป็นเพื่อนสนิทกัน จะได้คุยกันก็ตอนพ่อมันพาบ้านมันมาออกไปกินข้าวกับบ้านผม พอเห็นอยู่โรงเรียนเดียวกัน ก็จับให้เรานั่งด้วยกัน ให้คุยกัน แต่ผมก็คุยกันไปงั้นๆ ตอนนั้นน่ะ ผมรู้ตัวแล้วล่ะว่า ผมเป็นเกย์ ผมคงรู้สึกเหมือนมีอะไรแตกต่างระหว่างเราอยู่เยอะ” ต่อเล่า


แต่ตอนมัธยม บางสิ่งบางอย่างเริ่มเปลี่ยนไป ผู้หญิงวิ่งเข้าหาจรให้ตรึมในฐานะหนุ่มหล่อของโรงเรียน
“มันก็จีบหญิงไปดะนะพี่ ไม่เว้นแม้กระทั่งเพื่อนผม พอดีเพื่อนผมคนนี้ หน้าตาดี เป็นสาวลูกครึ่งไทยเดนมาร์ค เหมือนนางแบบเปี๊ยบเลย ใครๆ ก็มารุมรัก มันได้เปรียบกว่าคนอื่น เพราะมีผมนี่แหละที่เป็นสะพานให้มัน น่าจะเรียกว่าเป็นทางด่วนซะมากกว่า” ต่อหัวเราะ


จรกับเพื่อนของต่อกลายเป็นคู่รักที่ใครๆ ทั้งโรงเรียนต่างพากันอิจฉา เวลามีเรื่องทะเลาะกัน ก็มีนายต่อนี่แหละคอยช่วยประสานรอยร้าว จรมารู้ทีหลังว่า ต่อเป็นเกย์ ก็จากปากแฟนสาวคนนี้ แต่ทำยังไงได้ ถ้าไม่ได้นายต่อ จรคงไม่ได้เป็นแฟนกับหล่อน


“ทะเลาะกันที มันก็ต้องวิ่งมาหาผม ผมล่ะเซ็ง มันก็ไม่คิดอะไรนะที่ผมเป็นเกย์ ทั้งๆ ที่มันก็ไม่ค่อยชอบเกย์ กะเทยเท่าไหร่ คงเป็นเพราะเห็นกันมานาน แต่จริงๆ มันจะคิดยังไงกับผมเหรอ? ไม่ชอบผมเหรอ? ผมไม่แคร์หรอก”


ทั้งจรและเพื่อนคนสวยของต่อคบกันมาจนถึง ม. 5 ก็ต้องแยกย้ายกันไป หล่อนสอบเทียบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ส่วนจร ที่บ้านส่งไปเรียนต่ออเมริกาตั้งแต่นั้น และแล้วในวันนี้ เพื่อนสองคนก็ได้เจอหน้ากันอีกในวัยสามสิบต้นๆ


“ตอนเราโทรไปบ้านนายปีนั้นน่ะ หลังจากที่เราเจอนายที่สนามบิน ที่บ้านบอกว่า นายกำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงฝรั่ง เป็นไงบ้างล่ะ แล้วนี่ เมียนายไปไหน ไม่บินกลับมาเยี่ยมบ้านด้วยกันเหรอ?”


“ไม่หรอก เรากลับมาคนเดียว เราไม่ได้มาเยี่ยมบ้านนะ” จรตอบ สีหน้าเขาสลดลง “เราเลิกกันแล้วล่ะ” เขาก้มหน้าลง


“อ้าว!?!”
“ลูกเรา ก็ให้เค้าเลี้ยงไป เราจ่ายค่าเลี้ยงดูอยู่ตอนนี้ เรามาอยู่บ้านสามสี่เดือนแล้วนะ ตอนนั้นน่ะ ถ้านายอยู่อเมริกา ไม่ว่าตรงไหน เราจะบินไปหานายเลยนะ เราไม่รู้ว่า มันเกิดขึ้นได้ยังไง เรามีเรื่องจะบอกนาย แต่…นายอย่าบอกใครนะ เราไม่มีใครแล้ว”


แล้วลูกผู้ชายหน้าหล่อตรงหน้าก็เริ่มสะอึกสะอื้น ต่อแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยว่า เพื่อนของเขากำลังร้องไห้ออกมา เขาส่งสายตาปลอบโยนไปให้ และพยักหน้าตั้งใจรับฟัง จรกระดกแก้วเบียร์ แก้วที่เท่าไหร่ไม่รู้ อีกครั้ง


“เราไม่ได้อยากเลิก แต่มันจำเป็นน่ะ ตอนอยู่ที่โน่น เรากับเค้าก็อยู่ด้วยกันดีๆ แต่ปีที่แล้ว บริษัทส่งเราไปสัมมนาอีกเมือง ตอนนั้นเราต้องไปกับเพื่อนร่วมงาน เราก็รู้ว่า ไอ้หมอนั่นมันเป็นเกย์ แต่เราก็ไม่คิดอะไร สัมมนาเสร็จเราก็ไปดื่มกัน แล้วคืนนั้น เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ เรากับผู้ชายคนนั้น มีอะไรกัน”


ต่อสังเกตจรเริ่มหายใจขัด ใบหน้าที่เคยขาวใสของเขา ตอนนี้เริ่มแดงจัดขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์เบียร์หรือเพราะสิ่งที่เขาเพิ่งพูดออกมา จรเริ่มขยับเก้าอี้อีกครั้ง เขาหันรีหันขวางเหมือนเก้าอี้มันกำลังบีบรัดให้เขาทนนั่งอยู่ไม่ได้ ถ้าวิ่งออกไปได้ ต่อคิด จรคงหายวับไปแล้ว


“นายแน่ใจเหรอ มันก็แค่ครั้งเดียว อย่าคิดมาก คงเพราะนายเมามั้งวันนั้น”
“พอเรากลับบ้าน นายรู้เปล่า อะไรๆ มันก็เปลี่ยนไป เรารู้สึกว่า สิ่งที่เราทำอยู่มันไม่ใช่ เราไม่รู้สึกอยากมีอะไรกับเมียเราอีกเลย กับคนนั้นก้อ…มันก็ไม่ได้วิเศษอะไรตอนเราทำไป แต่มันรู้สึกแปลกๆ น่ะ นายเข้าใจมั๊ย มันเกิดขึ้นได้ยังไง? มันเกิดขึ้นกับเราได้ยังไง? เรามีลูกแล้วนะ ลูกเราน่ะขวบนึงแล้ว” จรละล่ำละลัก
ตอนนี้น้ำตาของเขาเอ่อล้นออกมาอย่างไม่อายใครอีกแล้ว ต่อรู้สึกสงสารจับใจ แล้วจะให้เขาทำยังไง? เขาทำอะไรไม่ถูกแล้ว ก็เพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่า ที่เพื่อนนัดมาวันนี้เพื่อจะพูดเรื่องนี้กับเขา หรือจะส่งกระดาษทิชชู่ให้เขา เอาจังหวะนี้เลยเหรอ?


“ที่บ้านเราน่ะ เค้าดีใจนะ ที่เรากลับมาบ้านจะได้ทำกิจการที่บ้าน รู้มั๊ย เค้าบอกว่ายังไง ไม่เป็นไรหรอกลูก เดี๋ยวป๋ากับแม่จะหาใหม่ให้ อยู่บ้านเราแหละดีแล้ว บ้านเราเค้าไม่รู้หรอกว่า เราเป็นอะไร เรารู้สึกยัไง เราจะบอกกับพวกเค้าได้ยังไงล่ะ บางครั้งมันก็อ้างว้างมากเลยนะต่อกับการไม่มีใคร นายเข้าใจที่เราพูดมั๊ย”
จรเล่าอีกว่า สองเดือนก่อนเขารู้จักผู้ชายอีกคนหนึ่งที่อยู่จังหวัดติดๆ กัน หนุ่มคนนั้นไม่ได้ปิดบังอำพรางใครในชีวิตว่าตัวเองเป็นเกย์ พอคบกันสักพัก จรก็ตัดสินใจบอกว่า “เราอยู่กับคนพวกนี้ไม่ได้หรอก ทำไมต้องแสดงออกอะไรกันด้วย”


ต่องงๆ กับสิ่งที่ได้ยิน “ผมก็ยังไม่แน่ใจนะพี่ว่า มันเป็นเกย์หรือเปล่า หรือมันเข้าใจอะไรผิดๆ ไป มันจะเป็นเกย์ได้ยังไง” ต่อเล่า


หลังจากดื่มไปอีกแล้ว จรเริ่มจ้องหน้าต่อ เขานิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาว่า “ต่อนายยังไม่ใครใช่มั๊ย นายว่า…เรากับนายเป็นแฟนกันได้มั๊ย” จรโพล่งออกมา



หา? ให้ตายเถอะ ต่อคิดในใจ ตอนนี้ เขาไม่แน่ใจว่า ใครสับสบกว่าใคร ความคิดของจรที่อยากเป็นแฟนกับเขา มันมาจากไหน?


“ต่อ นายน่ะไม่มีใครดูออก แล้วก็ไม่มีใครดูเราออก บ้านเรากับบ้านนายก็สนิทกัน เราคงไปไหนมาไหนด้วยกัน เข้าออกบ้าน ไม่มีคนสงสัย พอใครๆ ถามว่า ทำไมเราไม่แต่งงานใหม่ เราก็บอกได้นี่ว่า ต่อมันยังไม่เห็นจะแต่งเลย นะ…นายเป็นแฟนเรานะ”

0 comments:

Blog Archive