“โทมัส ไจแอนท์” เผยตัวตนในคราบชายรักชายครั้งแรก

Thursday, September 2, 2010

"โทมัส ไจแอนท์" อดีตนักร้องเด็กสุดฮอตผันตัวทำงานกลางคืน เผยตัวตนในคราบชายรักชายครั้งแรก
"โทมัส ไจแอนท์" อดีตนักร้องเด็กวงบอยแบนด์สุดฮิตเมื่อ 10ปีก่อน ปัจจุบันหันหลังให้วงการบันเทิง หันเหใช้ชีวิตทำงานตอนกลางคืน เป็นนักร้องตามผับและแดนเซอร์ ยืนหยัดที่จะหาเงินด้วยลำแข้งของตัวเอง และมีความสุขในสิ่งที่กำลังทำอยู่ พร้อมเปิดเผยตัวตนในคราบชายรักชายครั้งแรก
      
       ย้อนหลังกลับไปเมื่อ 10 กว่าปีก่อนวงการบันเทิงต้องตกตะลึงกับความกล้าเสี่ยงของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่อย่าง "อาร์เอส" ที่จับเด็กน้อยลูกครึ่งที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ววัย 11-13 ปี 3 คน "โจ-โทมัส-ฮาเวิร์ด" มารวมตัวกันออกอัลบั้มในนาม "วงไจแอนท์" โดยมีเพลงฮิตติดหูทั้งบทเพลงเร็วพร้อมท่าเต้นน่ารักในเพลง "เจ็บนี้รสปูอัด" หรือเพลงช้าเศร้าซึ้งอย่าง "เจ็บแปลบ" แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ "วงไจแอนท์" มีผลงานเพียงแค่ 2 อัลบั้มเท่านั้นก็ต้องวงแตกแขวนไมค์ ทั้ง 3 เด็กน้อยต่างแยกย้ายกันไปเดินทางใครทางมัน
      
       ผ่านมาถึงยุคปัจจุบันคนที่ยังคงมีผลงานเพลงออกมาให้เห็น มีเพียงหนุ่มน้อยหน้าตี๋ "ฮาเวิร์ด หวัง" เท่านั้น ส่วนหนุ่มน้อยหัวหยิกผิวเข้ม "โจ" ตั้งแต่ "วงไจแอนท์" แตกก็หายเงียบเข้ากลีบเมฆ ด้านหนุ่มหัวทองลูกครึ่งไทย-ฮอลแลนด์ หน้าตาทะลึ่งทะเล้นขี้เล่น "โทมัส" หรือชื่อจริง "โทมัส เนเลแมนส์" ปัจจุบันได้เติบโตเป็นผู้ชายหน้าคมเข้มวัย 24 ปี มีอาชีพร้องเพลงตามผับและเป็นแดนเซอร์ แต่ก่อนหน้านี้เขาเคยสร้างความฮือฮาเขย่าวงการชาวสีรุ้งมาแล้ว กับภาพหลุดจ๊วบปากแฟนซึ่งเป็นเพศเดียวกันแบบดุเด็ดเผ็ดร้อนบนเตียง
      
       "วันวาน วันนี้" ได้มีโอกาสพูดคุยกับหนุ่ม "โทมัส" ตั้งแต่เหตุ "วงไจแอนท์" แตก รวมถึงความเป็นตัวตนที่เป็นเกย์อย่างเปิดเผย และเขาก็ไม่อายที่จะบอกใครเช่นนั้น!!
      
       "ผมเข้าวงการครั้งแรกเพราะการชักชวนของพี่ชิ (อนุชา ลังประเสริฐ) ตอนนั้นจำได้ว่าตอนป.4 ไปเดินแบบของโดมอนบอย แล้วเจอพี่ชิเข้ามาถ่ายรูป วันรุ่งขึ้นก็เรียกผมไปเซ็นสัญญากันเลย เมื่อก่อนทุกอย่างมันง่ายๆ ขึ้นอยู่กับโอกาสด้วย เขาเรียกให้ผมลองมาเทสต์เสียง ซึ่งตอนนั้นผมก็รู้สึกโอเคกับด้านร้องเพลงมากๆ ฟีดแบคค่อนข้างดี ก็ทำมาเรื่อยๆ จากชุด 1 มาถึงชุด2 ซึ่งจริงๆ แล้วกำลังจะทำชุด 3 แต่มีปัญหาเรื่องในวง แต่ละคนไม่ค่อยลงรอยกันในเรื่องของแนวเพลงก็เลยจับแยก อาจเป็นเพราะโตขึ้น ต่างคนก็เลยต่างมุ่งเรียนด้วย จริงๆ ทางพ่อผมก็ไม่ได้สนับสนุนแต่ก็ไม่ได้ขนาดห้าม เขาอยากให้เรียนจบก่อน แต่ทางแม่สนับสนุนก็โอเค เราก็เลยพักแล้วมาเรียนก่อน ซึ่งตอนนั้นก็อายุ 13-14 จนถึงตอนนี้ก็10 ปีแล้วครับ"
      
       "หลังจากที่ออกจากอาร์เอสก็มุ่งเรียนที่เมืองไทยอย่างเดียว แล้วก็จะรับงานนอก ไปต่างจังหวัด ไปตามอีเว้นท์ ร้องด้วยหรือว่าเดินแบบถ่ายแฟชั่น ก็ยังทำงานอยู่ในวงการอยู่ พอถึงจุดๆ หนึ่งมันเหมือนได้สติสักพักว่า เราจะพยายามทำไมในเมื่อยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย เราก็ยังเป็นเด็กคนนั้นอยู่ ซึ่งเราโตแค่อายุ แต่ภาพทุกอย่างในการพัฒนาเราก็เหมือนเดิม พอได้สติเราก็ไปอยู่เมืองนอกดีกว่า"
      
       "ก็ไปอยู่กับพ่อที่ต่างประเทศอยู่มา 4 ปีได้อะไรมาเยอะ เราจะได้ความรับผิดชอบว่าอ๋อนี่เหรอที่ฝรั่งเขาเป็น มันก็จะได้เอามาใช้ที่เมืองไทย เราก็จะมีความรับผิดชอบ ซึ่งทางผู้ใหญ่ก็จะชอบเรา มันจะมีเครดิตมากกว่าคนอื่น แล้วก็มีร้องเพลงตามงานที่โน่นด้วย ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ทำให้เราโตขึ้นได้พัฒนาตัวเอง"
      
       "และมันทำให้หลายอย่างในชีวิตของผมเปลี่ยนโตมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะหลายอย่างผมเลือกด้วยตัวเอง คือจริงๆ แล้วมันมีหลายอย่างที่ตัวผมเองทำไม่เป็นก็ยอมรับ คือการอยู่คนเดียวบางอย่างก็ไม่ชิน เช่นการซักผ้า ทำความสะอาดบ้านหรือการล้างห้องน้ำ ผมก็ทำไม่เป็น แต่เราก็ต้องทำ เพราะวันข้างหน้ามันจะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นตรงที่ไม่ต้องขอมือใครเข้ามาช่วย ผมยืนด้วยตัวเองตั้งแต่อายุ 15-16 แล้ว ก็คือพยายามหาเงินเอง เลี้ยงดูตัวเอง ไม่ขอเงินพ่อแม่ ก็ทำอย่างนี้มานานแล้ว"
      
       ปัจจุบัน "โทมัส" ยังไม่เลิกจับไมค์ร้องเพลง และยังหันมาเอาดีด้านการเต้นเป็นแดนเซอร์ควบคู่ไปด้วย แม้ทุกวันนี้จะลำบากหาเงินเข้ากระเป๋าได้น้อยกว่าแต่ก่อน แต่สิ่งที่ทำอยู่ทำให้เขามีความสุข ลมหายใจเข้าออกมีแต่คำว่างานอย่างเดียว
      
       "พอกลับมาเมืองไทยผมมีการวางแผนว่าจะต้องทำงานก่อน ผมต้องสามารถดาวน์คอนโด ดาวน์รถ ตอนนี้ก็เริ่มจะเข้าที่เพราะช่วงนี้งานค่อนข้างที่จะเยอะ ซึ่งเป็นอะไรที่ค่อนข้างยุ่ง เพื่อนๆ ตอนนี้ก็ค่อนข้างที่จะโกรธนิดหนึ่งที่ไม่มีเวลาให้ ก็ชีวิตเราเราต้องเดินด้วยตัวเอง เพื่อนมาเดินให้เราไม่ได้"
      
       "ตอนนี้ผมร้องเพลงด้วยเต้นด้วยตามผับต่างๆ ผมร้องทุกแนวไม่ว่าจะเป็นเพลงช้าเศร้าๆ แล้วแต่อารมณ์จะร้องแนวไหน ได้ทุกแนว ตอนนี้ทำงานทุกวันกลายเป็นคนที่มีชีวิตกลางคืนไปแล้ว จะเริ่มงาน 11 โมงแต่ไม่ทุกวัน แล้วก็จะต้องซ้อมเต้น กลางวันก็จะกินข้าว เสร็จกลับบ้านก็นอนก่อนแล้วค่อยอาบน้ำก็เริ่มงาน 2 ทุ่มครึ่ง เลิกงานตี 1 เกือบตี 2 ตอนนี้ผมทำงานอยู่ที่ร้านฮอลลีวูดกับจังเกิ้ล แถวเลียบทางด่วนรามอินทรา แต่กำลังจะออกจากจังเกิ้ลไปโรงเบียร์แถวพระราม2"
      
       "เวลาทำงานผมจะเต็มที่ทุกครั้ง ไม่สบายก็ไป ปวดท้องออกมาหน้าเวทีก็เหมือนคนธรรมดา คือผมไม่ชอบการอยู่เฉยๆ นอนเฉยๆ เงินมันไม่ได้ไหลเข้ามา ถ้าเรายังไหวผมก็ไป ใช้เวลาแค่สิบนาที หรือหนึ่งชั่วโมง มันไม่คุ้มเหรอ ตั้งแต่ทำงานมามีอยู่แค่ครั้งเดียวที่ไม่ได้ไป เพราะไม่สบายถึงขั้นลุกไม่ขึ้น ถามว่าคุ้มไหม อืม....ผมทำแล้วมีความสุข ถึงผลตอบแทนไม่เยอะเท่าไหร่ แต่เหมือนมันชินแล้ว ซึ่งตอนนี้ก็แฮปปี้ เหนื่อยมากบางทีเวลานอนยังหาไม่เจอเลย ลมหายใจกลายเป็นงานไปแล้ว"
      
       แม้เมื่อครั้งยังเป็นนักร้องตัวน้อยจะมีชื่อเสียงโด่งดังเพียงใด แต่ "โทมัส" ไม่เคยใช้ชื่อ "โทมัส ไจแอนท์" เป็นใบเบิกทางในการทำมาหากินของตัวเองในปัจจุบันเลย ซึ่งก็มีแฟนเพลงจำนวนหนึ่งยังคงจำเขาได้ และที่ปฏิเสธไม่ได้มากไปกว่านั้นคือ กรณีภาพหลุดจ๊วบปากแฟนหนุ่ม ที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นเพศที่ 3 ของเขา ซึ่ง "โทมัส" ก็ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาไม่มีแอ๊บว่า การเป็นชายรักชายผิดตรงไหน?!?
      
       "จริงๆ ผมแทบไม่ใช้ชื่อนั้นเลย ใช้ชื่อตัวเองที่เป็นชื่อเล่นชื่อ เจ อย่างไปออกอีเว้นท์จะไม่แนะนำว่าโทมัส ไจแอนท์ ผมจะใช้ชื่อ เจ โทมัส ครับ คือผมไม่ได้ลืมตัวว่าดังมาจากไหน แต่ตรงนี้มันเหมือนผมแค่ไม่ต้องการให้คนมามองว่า มันจะเอาขึ้นมาทำไม เพราะมันก็ไม่ได้ดังแล้ว เหมือนกับทำให้ตัวเองดูดี ดูเด่นขึ้นมา ซึ่งจริงๆ แล้วผมติดดินจะตาย ไม่ใช่แบบเฮ้ย!โทมัส ไจแอนท์ นะ สนใจกูหน่อย คือเดินมาถึงใครจะถ่ายก็ถ่ายโอเค ผมก็เดินเล่นในงาน มีของมากินผมก็กิน นั่งอยู่ในงานถึงเวลาตบมือผมก็ตบมือ ให้ทำอะไรก็ทำ คือเราก็ทำตามหน้าที่ของเรา โดยที่ไม่ได้ไปบอกใครต่อใครว่า พี่ครับ.....โทมัส ไจแอนท์ นะครับมาถ่ายรูปสิ (หัวเราะ) ผมก็เลยไม่ได้ใช้ชื่อนั้นอีก"

0 comments:

Blog Archive